สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก

 

 

 

 

 

 
สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก

สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก

ต้นกำเนิด สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่คนเราจะรู้จักกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเสียอีก โดยมี เจ.พี. ไนต์ วิศวกรชาวอังกฤษ เป็นเจ้าของผลงาน สร้างไฟสัญญาณจราจรขึ้นมา ก็เพื่อใช้ควบคุมการสัญจร ของรถม้า และคนเดินเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยก ที่เริ่มจะพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนั้น โดยสถานที่ที่ได้รับเกียรติให้ทำการติดตั้งผลงานชิ้นแรกของไนต์ก็คือ สี่แยกใจกลางมหานครลอนดอนบริเวณหน้ารัฐสภาอังกฤษ นั่นเอง

ข้อมูล teen.mthai.com อ้างอิง ครั้งแรกของโลก โดย บัญชา มัติศิลปิน , gurugoogle

กำเนิด สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก รูปลักษณ์ สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก มี 2 แขน เมื่อใดที่แขนทั้ง 2 ข้างของมันเคลื่อนตัวขนานกับพื้นดิน หมายความว่า พาหนะที่กำลังสัญจรอยู่บริเวณสี่แยกจะต้องหยุดทันที หากแขนทั้ง 2 ข้างของ สัญญาณจราจรเคลื่อนตัวทำมุม 45 องศา จะหมายความว่า ให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิดใช้ถนนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยในตอนกลางคืนจะมีไฟสีแดงและสีเขียว ซึ่งได้จากพลังงานแก๊สบนแขนทั้ง 2 ข้างเป็นตัวให้สัญญาณเพื่อให้มองเห็นเด่นชัด โดยแสงสีแดงหมายถึง ‘หยุด’ ส่วนแสงสีเขียวหมายถึง ‘ให้ระวัง’ ปี 1920 วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้ออกแบบ ไฟสัญญาณจราจรรูปแบบใหม่ขึ้น พร้อมกับเพิ่มไฟสีอำพัน (สีเหลือง) เข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ใช้พาหนะให้ระวัง และชะลอตัวก่อนที่จะหยุด หรือ ออกตัว

ต่อมา วิวัฒนาการของ ไฟสัญญาณจราจร ก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในเมือง ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐ  ช่วงปี 1912 โดย เลสเตอร์ ไวร์ พนักงานตำรวจชาวอเมริกันเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของเขาเอง จาก นั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติ ก็ถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยเป็นฝีมือของ การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก

สัญญาณไฟจราจรอันแรกของโลก

สัญญาณไฟจราจร ในบางแห่งจะทำงานโดยใช้สวิทซ์หรือแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นถนน เรียกอุปกรณ์ตัวนี้ว่า Directorวิธีการทำงานก็คือ หากรถบนท้องถนนมีจำนวนมากไฟจราจรจะเป็นสีเขียวเพื่อระบายรถออกไป แต่หากมีรถยังไม่มากพอก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง สัญญาณไฟจราจรถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในการบรรเทาการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนที่มีรถมากๆ และที่สำคัญยังสามารถช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี สำหรับความหมายของไฟจราจรนั้นมีดังนี้

สีเขียว หมายถึง ไปได้ Let’s go !! สีเหลือง หมายถึง ระวัง (ตรงนี้ต้องเริ่มทำการหยุดแล้ว) (หรอ !! เห็นเหยียบมิดคันเร่งเลย) สีแดง หมายถึง หยุดนิ่ง  ทำไม สัญญาณไฟจราจร ต้อง เขียว-เหลือง-แดง ! เขียว กับ แดง แยกแยะได้ง่าย และมีความหมายเปนนัยอยู่ในตัวของมันเอง แถมยังเปนสีที่ต่างโทนกันอย่างชัดเจน แม้แต่คนตาบอดสีก็สามารถแยกแยะได้ด้วยความเข้มข้นของแสงและตำแหน่งของไฟที่ปรากฏบนดวงไฟสัญญาณ นอกจากนี้สีแดง และเขียวถือว่าเปน แม่สีแสงสว่าง(น้ำเงิน อีก 1 สี) ของแท้ และแน่นอน(แดง เหลือง น้ำเงิน เปนแม่สีวัตถุธาตุ) ที่เซลล์ประสาทตาของมนุษย์แยกแยะได้เปนพื้นฐานที่สุดน่ะค่ะ สีชมพูเปนสีโทนร้อนก็จริงแต่ความเข้มข้นของแสงที่สะท้อนเข้าสู่สายตาอาจน้อยเกินไป โดยเฉพาะเวลากลางคืน ทำให้แยกแยะลำบาก สีม่วง เปนสีโทนเย็นที่แทบมองไม่เห็นยามทึบแสงน่ะค่ะ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย :: ภูเก็ต เป็นจังหวัดแรกๆในประเทศ ที่ไฟแดงไม่มีความหมายอะไร เพราะผู้ขับขี่ฝ่าเหมือนมันเป็นแค่เสาธรรมดาเสานึงแค่นั้น !!

11 มี.ค. 56 เวลา 18:21 2,186 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...