สุดซึ้ง! หญิงสาวดูแลแฟนหนุ่มความจำเสื่อม... แม้เขาจะจำได้แค่แฟนเก่า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก เจาะใจ Johjai , รายการเจาะใจ โพสต์โดย คุณ Bbibi Misaka สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม 

            "พระเอกเกิดอุบัติเหตุมีเปอร์เซ็นต์รอดเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ทางแพทย์ช่วยให้ฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ พอฟื้นขึ้นมากลับจำนางเอกไม่ได้เสียอย่างนั้น..." ใครจะเชื่อว่า เหตุการณ์ราวนิยายข้างต้นนั้น จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง... แถมต่างกันนิดนึงตรงที่พระเอกในชีวิตจริงเรื่องนี้... ไม่เพียงแต่จำนางเอกไม่ได้เท่านั้น แต่กลับไปจำรักครั้งเก่าได้อย่างแม่นยำเสียด้วย... โดยทางรายการเจาะใจ (7 มีนาคม) ได้นำเสนอเรื่องราวความรักดุจดั่งนิยายของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เธอพยายามจะทำทุกอย่าง เพื่อให้คนรักของเธอกลับมามีชีวิตปกติ ถึงแม้ว่าเขาจะจำเธอไม่ได้ก็ตาม 

            คุณอุ๊ อุไรวรรณ เพ็งพุ่ม และคุณป้อม ธีระพงษ์ เรไนไพร ได้เท้าความไปถึงสมัยคบกันครั้งแรก ซึ่งคุณอุ๊ เล่าว่า... ตนกับพี่ป้อมเป็นคนพิษณุโลก เรียนโรงเรียนเดียวกัน และเคยคบกันสมัยเรียน ม.3 ถึงตอน ม.6 เทอมแรก เนื่องจากพี่ป้อมต้องย้ายตามครอบครัวไปที่ จ.นครพนม ด้วยความไกลกันก็เลยทำให้ห่างกันไป จนเลิกรากันในที่สุด ต่อมาเมื่อประมาณปี 2553 พี่ป้อมก็ได้กลับมาอยู่ที่ จ.พิษณุโลก อีกครั้ง และตนก็ทราบข่าวว่าคุณแม่ของพี่ป้อมป่วยหนักเป็นมะเร็ง ก็เลยมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากนั้นไม่นานคุณแม่ของพี่ป้อมก็เสีย ตนก็เข้าไปปลอบใจและรู้สึกเห็นใจพี่ป้อมมาก และจากความรู้สึกดี ๆ ก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความรัก เราสองคนจึงตัดสินใจคบกันอีกครั้ง และมีแพลนว่าช่วงปลายปี 2554 เราจะแต่งงานกัน 

            "ช่วงเดือนมิถุนายน อุ๊จะไปดูงานที่ประเทศเกาหลี ในโครงการปริญญาโทกับเพื่อน ๆ  ซึ่งอุ๊มองว่าโอกาสที่เราจะไปต่างประเทศด้วยกันมันน้อยมาก และอุ๊ก็อยากให้เขาเห็นในสิ่งที่เราได้เห็น จึงชวนพี่ป้อมไปด้วย ตอนนั้นเราไปดูงานที่โซล และอีกประมาณ 2 ที่ พอนั่งรสบัสกำลังจะไปเกาะนามิ ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น จู่ ๆ พี่ป้อมก็หัวใจวายเฉียบพลันเสียอย่างนั้น" คุณอุ๊ กล่าว

 


            คุณป้อม เผยถึงสุขภาพในช่วงก่อนเกิดเหตุว่า พื้นฐานร่างกายตนเป็นคนแข็งแรง เพราะตนออกกำลังกายและเตะบอลเป็นประจำ และเท่าที่จำได้ คนในครอบครัวของตนก็ไม่เคยมีใครป่วยเป็นโรคหัวใจ ส่วนเรื่องเหล้าบุหรี่ก็มีบ้างนิดหน่อย ไม่ได้ดื่มเยอะ สูบเยอะ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหัวใจวายแบบเฉียบพลันได้

            คุณอุ๊ เล่าวินาทีที่เธอไม่มีวันลืมว่า... ตอนนั้นถ้าให้ตนเดาคงเป็นเพราะพี่ป้อมไม่ได้พักเลย เพราะอยู่บนเครื่องก็ไม่ได้นอน พอลงเครื่องปุ๊บทัวร์ก็พาเที่ยวเลย อาจทำให้เหนื่อยก็เป็นได้ แถมยังเดินขึ้นเขาไปล็อกเลิฟสถานที่ที่คนเกาหลีเขาไปล็อกกุญแจคู่รักกัน เลยทำให้เหนื่อยเป็นพิเศษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่ป้อมก็ไม่ได้บอกว่ารู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด 

            "พอขึ้นไปบนรสบัส อุ๊ก็ถามพี่ป้อมว่า แฮปปี้ไหม พี่ป้อมบอกแฮปปี้มาก จากนั้นเราก็นั่งคุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยค พออุ๊หันมาอีกที ก็พบว่าพี่ป้อมมือเกร็งไปหมดและพยายามจะเอนมาพิงอุ๊ ซึ่งตอนแรกอุ๊คิดว่าพี่ป้อมแกล้ง แต่พอดูมือชัด ๆ แล้วมันไม่ใช่ พี่ป้อมเกร็งจริง ๆ อุ๊จึงเรียกพี่ ๆ และไกด์ให้มาดูอาการ ซึ่งเป็นครั้งแรกของอุ๊ที่เห็นคนกำลังจะตายมันเป็นอย่างไร เพราะพี่ป้อมจากหน้าที่มีสีเนื้อ ๆ มีเลือดอย่างเรา ๆ จู่ ๆ ก็วูบฟรึ่บ.. กลายเป็นซีดทั่วทั้งใบหน้า" คุณอุ๊ เล่าต่อ 

            ต่อจากนั้นเมื่อไกด์ได้พาพี่ป้อมไปส่งถึงโรงพยาบาล ทางแพทย์ก็ระบุว่า พี่ป้อมหัวใจหยุดเต้น 10 นาที โอกาสจะรอดมีเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ และใน 1 เปอร์เซ็นต์นี้ อาจจะรอดแต่ก็ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา หรือว่ารอดแล้วก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เพราะก้านสมองบวม สมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานานเกินไป 
 


            จากจุดที่เราสองคนมีความสุขที่สุด... กลับพลิกพลันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความสุขที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เหลือแต่ความทุกข์ และมีคำถามวนเวียนอยู่ข้างในหัวตลอดเวลาว่า... มันเกิดอะไรขึ้น 

            "เรามาเที่ยวกับทัวร์เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย อยู่ในที่ต่างชาติต่างภาษาไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ตั้งสติไม่ได้เลย แต่ไม่เคยคิดว่าพี่ป้อมจะตายนะ ทางเขาบอกว่าค่าใช้จ่ายมันสูงมาก แจ้งยอดให้อุ๊ฟังตอนนั้น อุ๊ไม่มีปัญญาจ่ายได้แน่ พอโทรไปหาญาติพี่ป้อม เขาก็บอกว่าให้ถอดเครื่องช่วยหายใจเลย ให้อุ๊อยู่จนเผาเสร็จและนำอัฐิกลับมา ในใจอุ๊คือไม่ถอด มันรับไม่ได้ ...ขามาเราเดินมาด้วยกัน เราเดินจับมือกัน ขากลับเราต้องถือกระดูกคนที่เรารักกลับมาด้วย มันทำไม่ได้" 

            โชคดีที่ทางเกาหลีเขาไม่อนุญาตให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ คุณอุ๊ก็เลยปรึกษากับทางสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลี ในส่วนของการช่วยเหลือคนเจ็บป่วยต่างแดน ซึ่งทางสถานทูตก็ได้ความช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดี มีเงินสำรองในการใช้จ่ายเรื่องการเจ็บป่วย โดยคุณอุ๊เป็นคนรับภาระหนี้ทั้งหมด ซึ่งค่าใช้จ่ายตอนนั้นตกอยู่ที่ 5 แสนบาท ส่วนค่าใช้จ่ายตอนนี้เหลืออยู่ที่ 1.7 แสนบาท ซึ่งคุณอุ๊ยังผ่อนไม่หมด และตอนนี้ก็ยังเรียนไม่จบ เพราะไม่มีงานทำ ส่วนคุณป้อมก็ยังไม่หายดีไม่สามารถทำงานได้ 

            "อุ๊มีเวลาที่เกาหลีแค่ 7 วัน ซึ่งเพื่อน ๆ เขาก็ไปดูงานกันต่อ ส่วนอุ๊ก็มาดูแลเขาทุกวัน.. พออุ๊กลับเมืองไทยได้เพียงวันเดียว ทางสถานทูตก็โทรมาบอกตนว่าพี่ป้อมฟื้นแล้ว อุ๊เลยรีบทำเรื่องกับทางไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ และหลังจากนั้นประมาณ 3 วันก็บินไปเกาหลีทันที"
 


            ส่วนด้านคุณป้อม กล่าว หลังจากรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาแล้วก็งงว่าทำไมตนมาอยู่ที่นี่ รู้แค่ว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาล และไม่ใช่โรงพยาบาลที่ประเทศไทย ข้าง ๆ ตนก็ไม่มีใครที่ตนรู้จักเลย 

            ขณะที่คุณอุ๊ เมื่อทราบข่าวว่าคนรักของเธอฟื้นแล้ว และพี่นก พี่สถานทูตที่ดูแลคนรักของเธอในระหว่างที่เธอกลับเมืองไทยบอกว่า คุณป้อมมีผลกระทบในเรื่องความทรงจำ คุณอุ๊จึงให้พี่นกถามคุณป้อมว่า จำอุ๊ได้ไหม... ซึ่งคุณป้อมก็บอกว่าจำได้ คุณอุ๊เลยให้ถามอีกว่า อุ๊ ชื่อจริงชื่ออะไร.. และโลกก็ถล่มตรงหน้า เมื่อชื่อจริงที่คุณป้อมเอ่ย ไม่ใช่ชื่อ "อุไรวรรณ" ชื่อจริงของเธอ แต่กลายเป็นชื่อของแฟนเก่าของคุณป้อมที่มีชื่อเล่นว่า "อุ๊" เหมือนกัน 

            หลังจากที่จัดการเรื่องในเมืองไทยเสร็จ คุณอุ๊ได้เดินทางไปเยี่ยมคุณป้อมที่ประเทศเกาหลี โดยคำแรกที่คุณป้อมทักทายคุณอุ๊ คือคำว่า "มาได้ไง" ซึ่งคุณป้อม กล่าวว่า ตนจำอุ๊ได้เพราะเคยคบกันสมัยเรียน ตนก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อตนเกิดอุบัติเหตุที่เกาหลีแล้วอุ๊มาเยี่ยมตนทำไม ทำไมถึงมาไกลถึงที่นี่ ส่วนคุณอุ๊ก็เสียใจที่คนรักของเธอไม่สามารถจำเธอได้เลย แถมยังไปจำแฟนเก่าเสียอีก เธอเลยเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้แล้วก็ดูแลเขาต่อไป แต่ถึงกระนั้นคนรอบข้างก็พูดตลอดว่า อุ๊เป็นแฟนคนปัจจุบันของพี่ป้อมนะ เป็นคนที่ดูแลพี่ป้อมอยู่ 

            เมื่อความรักถูกลบเลือนหายไปจากความทรงจำ ถึงแม้จะมีคนออกมายืนยันว่า ปัจจุบันคบกับคนนี้อยู่ แต่ในความรู้สึกของคุณป้อมคือเลิกกับคุณอุ๊ไปแล้ว และกำลังคบกับแฟนเก่า แถมความทรงจำระหว่างคุณแม่เสียก็หายไปด้วย และเมื่อพยายามจะนึกก็จะปวดหัว ทำให้คุณอุ๊ไม่เคยที่จะรื้อฟื้นความหลัง เพราะกลัวจะมีผลกระทบกระเทือนต่อสมองของเขา
 


            "ตอนแรก ๆ อุ๊ทุกข์มาก เขาจำอุ๊ไม่ได้เลย อุ๊เสียใจ เสียความรู้สึก แต่อีกนัยนึงคือ เขาป่วย อุ๊ต้องย้ำกับตัวเองทุก ๆ วันว่าเขาป่วย... ซึ่งตอนแรกเขาก็คุยกับอุ๊แบบคนรู้จักกัน ไม่ได้สนิทกันเหมือนแต่ก่อน... หลังจากนั้นความคิดเรื่องที่จะโทรไปหาอุ๊แฟนเก่าของพี่ป้อมก็แว่บเข้ามา เลยโทรไปหาเขา และเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง... ถ้าเขาดูแลพี่ป้อมได้ดีกว่าอุ๊ อุ๊ก็อยากจะให้เขามาดูแล ส่วนภาระอื่น ๆ อุ๊ของรับผิดชอบเองทั้งหมด... "

            คุณอุ๊ กล่าวต่อว่า ที่ตนบอกไปอย่างนั้นไม่ได้อยากจะประชดหรืออะไร ตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่า... "ขอให้พี่ป้อมหาย ขอให้พี่ป้อมมีชีวิตอยู่แล้วใช้ชีวิตปัจจุบันได้สมบูรณ์แบบที่สุดก็พอแล้ว" 

            จากเหตุการณ์ร้าย ๆ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ความทรงจำของคุณป้อมจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทุกวันนี้คุณป้อมต้องฝังเครื่องกระตุกหัวใจไว้ในอกข้างซ้าย และต้องพบแพทย์ตามนัดทุกเดือน ต้องอยู่ห่างตู้ไฟฟ้า หรืออะไรที่นำพาไฟฟ้าแหล่งใหญ่ ๆ ซึ่งคุณป้อมเรียนจบด้านไฟฟ้ามา ทำให้ที่เรียนมาทั้งหมดเหลือเพียงแค่พื้นฐานนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง 

           ด้วยข้อจำกัดข้อนี้ ทำให้คุณป้อมยังไม่สามารถทำงานได้.. แต่ทุกวันนี้ คุณป้อมมีผู้หญิงที่รักเขาที่สุดอยู่ข้างกาย ดูแลทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน เพราะสมองในด้านการจดจำแย่มาก ไม่สามารถกินยาได้ครบทุกมื้อเพราะจำไม่ได้... 
 


            ถึงแม้ว่า... คุณป้อมจะไม่สามารถจำเรื่องราวความรักที่ขาดหายไปได้ แต่คุณป้อมกล่าวถึงความรักครั้งใหม่ให้ฟังว่า "ผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกมันจะเท่าเดิมไหม เพราะผมจำไม่ได้ แต่ที่รู้ ๆ ผมคิดว่าความรู้สึกของผมมันคงมากกว่าของเก่าหลายเท่าเลยล่ะ" 

            ส่วนนิยามความรักของคุณอุ๊นั้น คุณอุ๊ บอกว่า... "ความรักของอุ๊ คือการที่ได้ดูแลคนที่เรารักให้ดีที่สุด และเห็นเขามีความสุขที่สุด..."

            เรื่องราวของคุณอุ๊และคุณป้อม ทำให้เราได้เห็นว่า...  ความรักนั้น เป็นบ่อเกิดแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ สามารถทำทุกอย่างที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ถึงแม้เปอร์เซ็นต์จะประสบความสำเร็จจะมีเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม...

Credit: http://wedding.kapook.com/-58139.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...