บทสรุป-การวิจัย กระโหลกมนุษย์ ต่างดาว

 


ช่วงต้นปี 2010 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์อเมริกันได้ทดสอบ DNA
ของสิ่งที่จะเป็นได้ว่าคือ กะโหลกของเอเลี่ยน
พยายามจะวิเคราะห์ Nuclear DNA (nDNA) แล้ว

ตัวอย่าง DNA แบ่งออกเป็นสองแบบ
nDNA มาจากพันธุกรรมทั้งฝ่ายพ่อและแม่
mitochondrial DNA มาจากพันธุกรรมทางสายแม่
ในไมโตคอนเดรีย เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงาน
 

ลองเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล DNA แห่งชาติ
 
 
แต่พบว่า ไม่พบกับตรงกับฐานข้อมูลใดๆที่มีอยู่ No Significant similarity found


มันคือวินาทีประวัติศาสตร์สำหรับวงการวิทยาศาสตร์ที่จะบอกว่า นี่มันไม่ใช่กะโหลกของมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า ถ้าวิจัยจีโนมของมันได้ทั้งหมดแล้ว
คงจะเป็นหลักฐานยืนยันได้แน่ชัดจนยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า
มันเป็น กะโหลกเอเลี่ยน จริง


ลอยด์ พาย นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่องมนุษยวิทยาเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์
พบที่จากถ้ำเม็กซิโกเมื่อช่วงทศวรรษ 1940
ตามการตรวจอายุด้วยคาร์บอน พบว่าอายุราวๆ 900 ปี
กะโหลกดังกล่าวมีลักษณะทางกายภาพมากมายแตกต่างไปจากมนุษย์
 


จากการตัดกะโหลกเพื่อเก็บตัวเพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ จะเห็นได้ว่า Starchild กะโหลกบางกว่าอย่างเห็นได้ชัด


สภาพความแปลกของลักษณะกะโหลกนั้นอาจจะดูเล็กน้อย
เมื่อวิเคราะลงไปถึงส่วนผสมของกระดูกกะโหลก ก็พบความปะหลาดที่แตกต่างจากมนุษย์ปกติ

ของคนปกติ ของคนปกติ คาร์บอน กับ ออกซิเจน ต่ำกว่า ฟอสฟอรัส และ แคลเซี่ยม

 

 แต่ของ Starchild คาร์บอน กับ ออกซิเจน สูงมากต่างจากมนุษย์ปกติ ฟอสฟอรัสลดลง เป็นสัดส่วนที่แปลกปะหลาด

 
 
ต่อมาเป็นเรื่องของ anatomy of bone
 
มีการแกนเครื่องจุลทรรศอิเล็กตรอน ภาพของกระดูกภายใน cortical layer(เป็นส่วนที่เป็นกระดูกแข็ง หรือ compact bone)

จะเห็นภาพว่าส่วนติดกับกระดูกแข็งจะเป็นส่วนเซลล์ในกระดูก (ส่วนspongy)ซึ่งจะมี cancellous hole (รูว่างๆที่วงสีเหลือง) เป็นที่ที่ของไขกระดูก(bone marrow)สามารถเคลื่อนที่ผ่าน

ที่ปะหลาดที่สุดคือ มีวัตถุปะหลาดมันฝังตัวลงไปใน matrix ของกระดูก(แผ่นเนื้อส่วนนั้น) มันมี fiber (เส้นใย) ปะหลาดที่ทนทานอย่างมาก ซึ่งไม่เคยมีใครได้พบเห็นมาก่อนในสปีชีย์อื่นๆ เพราะใบมีที่ตัดชิ้นส่วนเพื่อนำไปศึกษาไม่สามารถตัดตรงนี้ได้ (เห็นรอยขีดข่วนอยู่แต่เส้นไม่ขาด)
 

 
เส้นใยปะหลาดที่ว่า
 
 
ความทนทานที่เหลือเชื่อ (เห็นรอยตัดอยู่ แต่ตัดไม่ขาด)


 
ความปะหลาดต่อมา

ลักษณะที่แปลกปะหลาดของโพรงไซนัส(คนปกติอยู่แถวหน้าผาก แต่นี่อยู่ใต้ตาหมด)

 
 

มีกล้ามเนื้อบดเคี้ยวที่เล็กกว่าคนทั่วไป

 
โครงกระดูกการเชื่่อมต่อกับส่วนคอนั้นก็มีลักษณะปะหลาด บอกได้ว่าคอมีขนาดเล็กกว่าคอของคนทั่วไป
 
 
 
 
มีภาพชิ้นส่วนขากรรไกรบน เมื่อดึงฟังออกมาเราจะเห็นว่าฟันนั้นยึดติดแน่นมาก และมีรากที่ยาวมาก และยังค้นพบมีฟัว่านหลายซีมากที่รอขึ้นอยู่ มากกว่าปกติ
 
 
ตรงนี้เรามองเห็นได้ชัดเจนที่สุดของความปะหลาดคือ วัตถุปะหลาดที่ฝังอยู่ใน matrix of bone

แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ตอบกลับมาว่ามันคือ เส้นใยไฟเบอร์ที่ปนเปื้อนไปทีหลัง บอกว่ามาจากพรม (เล่นทำแกเซ็ง) ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่เคยมีอยู่ในวิทยาศาสตร์กระแสหลักเดิมๆ แต่มันเป็น fact

 

 
 
 
ในปกติกระดูกของคนเรา แบคทีเรียจากในร่างกายจะทำให้กระดูกของคุณเหมือนกับถูกเคลื่อบไว้ ทำให้เห็นส่องสะท้อนแสง

แบคทีเรียเป็นตัวทำให้เกิดสภาพเช่นนั้น แต่ของ starchild กลับไม่พบอะไรเช่นนั้น (เหมือนกับว่าแบคทีเรียทำอะไรกะโหลกนี่ไม่ได้)


 
และลักษณะของชั่นกระดูกจะพบได้ว่ามีของมีคอลลาเจนมากกว่า(เหมือนมันmilky)
 
 
แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีสิ่งที่แปลกไปกว่านั้น

เศษสีแดง ซึ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร ซึ่งลักษณะนี้ไม่เคยได้เห็นในสปีชีย์อื่นๆ
ซึ่งมันไม่ใช่เลือด เพราะเลือดเวลาออกซิไดซ์แล้วจะกลายเป็นสีดำ
สิ่งพวกนี้มัน unknown ไม่เป็นที่รู้จัก
they mean nothing to mainstream science
และไม่เคยอยู่ในการศึกษาของกระแสหลัก

 

 

 

การตรวจสอบ DNA เอาคร่าวๆว่ามี 2 ครั้ง
เมื่อปี 2003 ตรวจด้วยแบบ PCR (Polymerase Chain Reaction)
เทคนิคแบบเก่าข้อดี ใช้ปริมาณตัวอย่างน้อย แต่ผลที่ออกมาจะแคบกว่า
วัดได้ไม่ลึก และผลออกมาว่าเป็นมนุษย์ โดยการตรวจแบบเก่านี้
This result indicated that the female and the Starchild could not be maternally related because their mtDNA did not belong to the same haplogroup.
ผลดังกล่าวแปลความได้ว่า Starchild กับกะโหลกหญิงข้างๆนั้นไม่ได้เป็นแม่ลูกกัน เพราะ mtDNA เข้ากันไม่ได้กับ haplogroup (ตัวอย่างเทียบเคียงทางสายญาติแม่เดียวกัน)

 
ไมโตคอนเดรียนั้นเป็นตัวสร้างพลังงานให้กับร่างกายมนุษย์ ทำให้ร่ายกายคนเราอบอุ่นจากการเผาผลาญพลังงาน ไมโตคอนเดรียในตัวคนเราจะสืบเชื้อสายมาจากแม่เพราะว่าแม่เป็นผู้ผลิตไข่ ด้วยเหตุนี้ทำไมถึงได้บอกว่าไมโตคอนเดรีย หรือ mtDNA ที่ใช้ในบทความนี้ถึงมาจากแม่ และด้วยเหตุนี้ถ้าเราเอาไมโตคอนเดรียในร่างกายคนเรามาเปรียบเทียบกัน เราก็จะหาได้ว่าแต่ละคนนั้นมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันหรือเปล่าโดยเปรียบเทียบจาก DNA ของไมโตคอนเดรีย

ส่วน nuclear DNA นั้นจะเป็นส่วนที่เกิดจาก DNA ในไข่ของแม่กับ DNA ในสเปริ์มของพ่อมารวมกัน ดังนั้น nuclear DNA จะมี DNA ของพ่อครึ่งนึง และ DNA ของแม่ครึ่งนึง nuclear DNA นี่แหล่ะที่เอามาพิสุจน์กันว่าเป็นพ่อแม่ลูกกันหรือเปล่าอย่างที่เห็นกันในข่าว

This result indicated that the female and the Starchild could not be maternally related because their mtDNA did not belong to the same haplogroup.
ผลดังกล่าวแปลความได้ว่า Starchild กับกะโหลกหญิงข้างๆนั้นไม่ได้เป็นแม่ลูกกัน เพราะ mtDNA เข้ากันไม่ได้กับ haplogroup (ตัวอย่างเทียบเคียงทางสายญาติแม่เดียวกัน)

 
 
แต่ปี 2010 ใช้วิธีการตรวจที่ซับซ้อนมากกว่า ด้วยวิธีเช่น
genome amplifications หรือ classic shotgun sequencing
ซึ่งเทคนิคนี้ผู้วิจัยคนเดิมเมื่อปี 2003 อย่าง Dr. Malhi and Dr. Eshleman ทำไม่ได้
เพราะความไม่เชี่ยวชาญและผลเชิงการค้าของสถาบันตรวจสอบ DNA

วิธีดังกล่าวเป็นงานที่หนักมากเพราะต้องใช้การหาจีโนมทั้งหมด ซึ่งยาก ของมนุษย์เพิ่งสำเร็จไปไม่กี่ปีมานี้เอง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ความพยายามจนเห็น บางส่วนที่เป็น “missing” nuclear DNA ซึ่งจะช่วยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของการตรวจแบบเดิม

คราวนี้พบ clearly fragments of the Starchild Skull’s nuclear DNA จริงๆแล้ว หลังจากความพยายามมา 11 ปี ที่คราวนี้ไปเทียบกับฐานข้อมูลของโลกที่คราวนี้ได้รับเงินวิจัยจากสถาบันดังกล่าวด้วย โดยนำไปเข้าโปBLAST program พบว่า คราวนี้มีความคล้ายคลึงกับแบคทีเรียอื่นๆอีก แต่ที่น่าสนใจคือส่วน(fragment)ของ ลำดับนิวคลีโอไทด์ 265 base pairs in length, and it was found to correlate with a segment on human chromosome #1 มีความคล้ายคลึงกับส่วนที่อยู่บนโครโมโซม 1 ซึ่งบอกได้ว่าเป็น genome ของ human or human-like. ซึ่งเหมือนกับปี 2003

 
 แต่ส่วนที่เป็น 342 nucleotide fragment ให้ผลแตกต่างออกไปอย่างน่าตะลึง


 
It states that within the millions of DNA base pair strings catalogued in the NIH database, none were even “similar” to this section of the Starchild Skull’s DNA!
ฐานข้อมูลเป็นล้านๆคู่ของสถาบัน NIH ไม่ตรงกับของ Starchild เลย (เก็บตัวอย่างมาจากทุกๆสปีชีย์บนโลกแล้วไม่พบว่าตรงกัน)

ส่วนตรงนี้เองที่ Some of the Starchild’s nuDNA is different from anything previously found on Earth!
nuDNA แตกต่างไปจากทุกสิ่งที่พบได้ในโลกใบนี้ นี่แหละคงเป็นเครื่องยืนยันว่ามาจากนอกโลก (extraterrestrial)

ส่วนนี้มาจาก http://www.starchildproject.com/dna2011march.htm


ลอยด์ พาย ให้สมมุติฐานว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ความเป็นไปได้ที่มีคือ การตัดต่อพันธุวิศวกรรมของเอเลี่ยน
Starchild นี้เป็นเอเลี่ยนเกิดจากแม่ทีเป็นมนุษย์ (ลูกผสมไฮบริด)
pure alien born to human mother >>> เอเลี่ยนที่เกิดจากแม่ที่เป็นมนุษย์อุ้มท้อง
ปัจจุบันนี้ทำได้ ถ้าเกิดกรณีที่ไมโตคอนแเดียอ่อนแอจะมีลูกไม่ได้



แต่เธออยากจะมีลูก สามารถมีได้โดยเอาไข่ของแม่ ผสมกับสเปริมพ่อ ได้ไซโกตซึ่งได้โครโมโซมจากพ่อแม่
แล้วไปเอาไข่จากคนที่สาม แล้วดึงโครโมโซมของคนที่สามทิ้ง ให้เหลือแต่ mtDNA


แล้วเอาไซโกตใส่เข้าไปแทนในไข่ที่มีไมโตตครอนเดียแข็งแรงจากบุคคลที่สามนั้นก็โอเค ให้ไข่นั้นฝังตัวในครรภ์ก็ท้องได้
วิธีนี้ทำให้มีลูกได้ซึ่งมียีนของพ่อแม่เด็กคนแรกอยู่ แต่มีไมโตคอนเดรียของบุคคลที่สาม

 
กรณีนี้ก็อธิบายเหมือนข้างตนกันคือ มีเอเลี่ยนสองตัวพ่อแม่ สร้างไซโกตขึ้นมา และด้วยเหตุผลบางอย่าง
เอาไข่ของผู้หญิง(มนุษย์)มาดึงเอาพันธุกรรมออกให้เหลือไมโตครอนเดียไว้ เอาไซโกตเอเลี่ยนไส่ลงไป
จนได้เอเลี่ยนที่มีไมโตคอนเดรียของมนุษย์ นั่นคือ ที่มาของ Starchild
สิ่งนี้ยากที่จะเป็นที่ยอมรับ (ตั้งแต่เรื่องของเอเลี่ยนแล้ว) จะยอมรับว่ามี พันธุวิศวกรรม ระหว่างเอเลี่ยนกับมนุษย์
เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ยากที่จะยอมรับมากๆ มันต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ยิ่งใหญ่มากในวงการวิทยาศาสตร์
แต่มันคือ fact จากการศึกษาด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่เห็นครับ




Credit: Dominic
1 มี.ค. 56 เวลา 12:23 3,031 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...