เรื่องราวปริศนากับ 10 อันดับ บุคคลลึกลับของโลก‏

 

อันดับ 10 Monsieur Chouchani



Chouchani (??-ตาย 1968) เป็นชื่อเล่นของอาจารย์ชาวยิว ที่ไม่มีใครรู้ชื่อจริงและชาติกำเนิดลึกลับ เป็นอาจารย์สอนนักเรียนระดับสูงของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และลูกศิษย์ที่ได้รับคำสอนจากอาจารย์ท่านนี้ล้วนมีชีวิตและการงานที่ใหญ่โต ในอนาคต ที่ดังๆ ก็เช่น Emmanual Levinas(นักปรัชญา และนักการศึกษา ชาวฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศรัสเซีย นับถือศาสนายิว) และ Elis Wiesel (เอลี วีเซล ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขา สันติภาพ ประจำปี 1986) หากแต่ชีวิตของอาจารย์ท่านนี้ลึกลับอย่างยิ่ง ทางการได้เก็บประวัติอาจารย์ท่านนี้ชนิดเรียกว่าลับสุดยอด ทำให้หลายคนเรียกชื่ออาจารย์คนนี้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ “shushani” ซึ่งหมายความว่าคนจาก Shushan(เมือง หนึ่งแถวๆ ทางใต้ของจีน) หรือชื่อจริงจะเป็น Hillel Perlmann

สิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวChouchani คือเขาปรากฏตัวครั้งแรกที่ปารีสในสงครามโลกครั้งที่ 2  เขาเป็นอาจารย์ในช่วง 1947 และปี 1952 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากนั้นก็มีข่าวของเขาไปตามที่ต่างๆ บั้นปลายสุดท้ายของเขาเลือกอาศัยอยู่ที่อุรุกวัยก่อนเสียชีวิตลงในปี 1968

แม้ไม่มีใครรู้ชาติกำเนิดของเขาและทำไมทางการถึงได้ปกปิดอย่างลับ สุดยอด แต่ Chouchani ได้ทิ้งหลักการมรดกทางปัญญาหลายๆ อย่างแก่ลูกศิษย์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญา ซึ่งส่งผลต่อสาขาวิชาอื่นๆ ในเวลาต่อมา

 
อันดับ 9 The Poe Toaster



 เอ็ด การ์ อัลเลน โป(วันที่ 19 ม.ค. 1809 -เสียชีวิต ต.ค. ปี 1849) เป็นนักเขียนชาวสหรัฐฯ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งวรรณกรรมรหัสคดี (Mystery) จากเรื่องสั้น "คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก" (The Murders in the Rue Morgue) กลายเป็นต้นแบบของนวนิยายนักสืบในเวลาต่อมา ชีวิตบั้นปลายของโปนั้นค่อนข้างลึกลับ แม้กระทั่งตอนเสียชีวิต โป มีอาการเพ้อแปลกๆ ไม่สามารถควบคุมตนเอง  เสื้อที่เขาใส่ก็ไม่ใช่ของตัวเขาเอง และคืนก่อนเสียชีวิตเขายังเพ้อถึงชื่อ "เรย์โนลด์" ซ้ำๆ หลายคนจนเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า “เรย์โนลด์” ที่เขาเอ่ยถึงคือใครกันแน่?  

แต่เรื่องราวความ ลึกลับของโปยังไม่จบ เพราะหลังจากการเสียชีวิตของโป ที่หลุมฝังศพของเขาในบัลติมอร์ (สุสานเวสต์มินสเตอร์ที่มุมถนนฟาเย็ตต์ตัดกับ ถนนกรีนนี่ ในบัลติเมอร์ตะวันตก)  ก็เริ่มมีคนลึกลับ สวมชุดดำ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมมีผ้าพันคอปิดปากปิดจมูก สวมห มวกสักหลาด ถือไม้เท้า เดินเข้าไปที่ป้ายหลุมศพของ โป ในทุก ๆ วันครบรอบวันเกิดของเขา และจะดื่มคอนยัคบรั่นดีหนึ่งขวดเพื่อคารวะก่อนจ ะวางขวดคอนยัคที่เหลือ เครื่องดื่มไว้ครึ่งขวด พร้อมดอกกุหลาบแดง 3 ดอก ไว้หน้าป้ายหลุมศพโดยบางครั้งก็มีการทิ้งโน้ตเอาไว้ด้วย

บุคคลปริศนาผู้นี้ ถูกเรียกว่า 'ผู้ดื่มคารวะแก่โป' (Poe Toaster) เขาไปที่หลุมศพของโปเพื่อทำแบบเดียวกันทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 1949 จนกระทั่งถึงถึงปี 1993 ไม่มีขาด การมาของเขาจะอยู่ในช่วงช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5 

ในวันที่ 14 มกราคม 1983 มีการจัดงานชุมนุมแฟนของโปกว่า 70 คน เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบที่ 174 ของโป และพอถึงเวลาตีหนึ่งครึ่งบรรดาคนในงานเหล่านั้นต่างตระหนกตกใจไปตามๆ กัน เมื่อแลเห็นร่างของชายคนหนึ่งพุ่งเลาะไปตามริมรั้วสุสานด้านทิศตะวันออก ชายเสื้อคลุมยาวของเขาปลิวไสว เขามีผมสีทอง ถือไม้เท้าหัวเลี่ยมทองเหมือนโปชอบใช้ และเมื่อเขาจากไปก็พบขวดบรั่นดีและดอกกุหลาบวางอยู่



ต่อมาผู้ดื่มคารวะแก่โป ก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า "คบเพลิงจะถูกส่งต่อ " ทำให้เชื่อว่าผู้ดื่มคารวะแก่โปกำลังจะเสียชีวิต จนในปี 1999 ก็มีโน้ตวางไว้ยืนยันว่าผู้ดื่ม คารวะโปคนเก่าเสียชีวิตแล้ว และมีผู้ดื่มคารวะโปคนต่อไปมาสืบทอด

ไม่ว่าชายคนนั้นจะเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เขาจะต้องเป็นแฟนหนังสือตัวยงของโปแน่นอน มีผู้ที่สนใจเรื่องนี้พยายามเข้ามาสืบว่าตัวจริงของผู้ดื่มคารวะโปคือใคร หลายคนพยายามจะจับตาดูและพยายามดักจับ หากแต่พวกแฟนของโปและผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นถูกเปิดเผยและ พยายามใช้มาตรการป้องกันคนไปรบกวนผู้มาเคาระศพยามวิกาลและปฏิเสธคำให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับชายคนนั้นทั้งหมด ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นคือใครกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเพราะเคยเห็นเขาลอยละล่องกลางอากาศมาแล้ว หรืออาจเป็นผีของโปเอง หรือจะเป็นฝีมือของคนขี้แกล้ง หรือจะเป็นคนที่ชื่อ "เรย์โนลด์" ที่โปเพ้อก่อนตายกันแน่??

 
อันดับ 8 Babushka Lady



ระหว่างที่มีการวิเคราะห์วีดีโอเหตุการณ์ลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดี ในปี 1963 ก็เกิดเรื่องน่าสนใจและเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อมีภาพหนึ่งจับภาพฝูงคนที่อยู่ใกล้ๆ รถที่เคนนาดี้โดนยิง มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสีน้ำตาลชมพูอยู่บนหัวของเธอ (ผ้าพันคอกลายเป็นสาเหตุเรียกชื่อเธอ ซึ่งการการใช้ผ้าคลุมคลุมที่หัวจะเหมือนการแต่งกายของหญิงรัสเซีย grandmothers เรียก ว่า babushkas) ซึ่งลักษณะท่าทางของเธอเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังจับกล้อง(หรือวีดีโอ)บันทึกภาพ เหตุการณ์ที่จอห์น เอฟ เคนนาดี้โ ดนยิงที่หัวแบบจะๆ และคาดว่าภาพที่เธอจับนั้นจะเป็นภาพวินาทีสังหารเคนนาดี้ที่ชัดมากกว่าของใคร ทั้งหมด แต่แล้วเธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางฝูงชนที่หนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ มีพยายบอกว่าเธอหนีไปทางตะวันออก พวกผู้เกี่ยวข้องและ FBI พยายามสืบและตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานนี้มาประกอบคดี หากจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบตัวเธอเลย และหลักฐานที่เธอได้นั้นไม่รู้ว่าจะสำคัญพอที่จะพลิกคดีจนเขย่าโลกได้หรือ ไม่?



ทำไม หญิงคนนี้ถึงไม่ปรากฏตัว? ทำไมเธอถึงไม่มอบ หลักฐานนี้ให้ทางการ? มีข้อสันนิษฐานว่าเธออาจถูกเก็บโดยผู้สมคบคิดเพราะเธอมีหลักฐานพลิกโลก ในปี 1970 มีคนอ้างว่าเป็นเลดี้ Babushka ที่ชื่อ Lolita Davidovich หากแต่ต่อมาเธอก็รับสารภาพว่าโกหก จนบัดนี้ปริศนานี้ก็ไม่ได้ไขแต่อย่างใด


อันดับ 7 Kaspar Hauser



คาสปาร์ เฮาเซ็นต์ [ (เกิด 30 เมษายน 1812 ?) - ตาย 17 ธันวาคม  (อายุ 21 ?) ]เด็กหนุ่มผู้มีชาติ กำเนิดเป็นปริศนาและตายลงอย่างลึกลับ เรื่องของเขาเป็นปริศนาพิศวงที่เป็นตำนานเล่าขานของเยอรมันมานาน

เรื่องของเรื่องเช้าวันหนึ่งในเดือน พฤษภาคม 1828 ได้มี เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีปรากฏตัวกลางเมืองเข้า เด็กหนุ่มผู้นี้มีท่าทางงุนงง ตื่นตระหนกและแต่งตัวบอนๆ เดินเข้าไปในนูเร็มเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ใครถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่ในมือเขามีจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชากองร้อยที่ 4 แห่งกองพันทหารม้าที่ 6 จดหมายมี 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 เขียนไว้ว่า

"กระผมส่งเด็กผู้ปรารถนาจะรับใช้ชาติการเป็นทหารมาให้ท่าน เขาถูกทิ้งที่บ้านผมตั้งแต่ยังเป็นทารก กระผมมีลูกของตัวเองที่ต้องเลียงดูถึง 10 คน และไม่อาจดูแลเขาได้อีกต่อไป หากท่านไม่ต้องการเขาก็ฆ่าหรือแขวนคอเขาก็แล้วกัน"

จดหมายอีกฉบับลงในปี 1812 คนเขียนอาจเป็นมารดา แท้ๆ ของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขียนไว้ว่า

"ดูแลลูกดิฉันด้วย พ่อของเขาอยู่กองพันทหารม้าที่ 6"

แต่ ถึงอย่างไรผู้บังคับการกองร้อยที่ 4 ที่เป็นผู้รับจดหมายกับไม่เชื่อถืออะไรกับจดหมายนั้น จึงส่งเด็กหนุ่มไปให้ตำรวจและถูกจับส่งเข้าคุกในฐานะคนจรจัด ในระหว่างเขาถูกคุมขัง ผู้คุมสั งเกตว่าเขาสามารถอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานๆ ชอบอยู่ในที่มืดๆ และเคลื่อนไหวในความมืดได้ดี เขารักในการเล่นม้าไม้ ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ขนมปังและน้ำ เมื่อส่งกระดาษให้เขาจะเขียนคำว่า "ทหารม้า" กับ "คาส ปาร์ เฮาเซอร์" ซึ่งสันนิ ษฐานว่านี้คงเป็นชื่อและนามสกุลเขา กิริยาคล้ายเด็กหัดเดิน และมองสิ่งรอบตัวก็เหมือนเป็นของแปลกใหม่ทุกอย่าง ผู้คุมชอบจึงสอนให้เขาฝึกพูด และเขียน

ภายใน 6 สัปดาห์ออกมาเขาก็สามารถ เล่าเรื่องราวชีวิตข องเขาก่อนหน้านี้ได้ เขาเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็ถูกขังในที่ห้องมืดๆ ทั้งวัน มีแต่ม้าไม้และหุ่นไม้เป็นของเล่น และไม่เคยเห็นใครหรือได้ยินใครกับใครมาก่อนเลย เมื่อเขาตื่นมาก็มีขนมปังกับน้ำมาวางไว้ให้ บางครั้ง น้ำก็มีรสเฝื่อนๆ และบางครั้งเมื่อเขาหลับและตื่นขึ้นมาก็พบว่าผมเผ้าและเล็บก็ถูกเล็มเรียบ ร้อย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ติดต่อคนอื่น เมื่อมีมือยื่นออกมาห้องขังพร้อมกระดาษและปากกาและสอนให้เขาเขียนสองคำคือ ทหารม้าและ คาสปาร์ เฮาเซอร์ และต่อมาก็พบว่าตัวเองกะโผลกกระเผลกอยู่ในเมืองนูเร็มเบิร์ก

และแล้วเรื่องเล่าของคาร์ปาร์ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขนานใหญ่ในหมู่ชาวเมืองนูเร็มเบิร์ก มีการประกาศหาเบาะแสของเขาอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อมูลอะไรได้เลย มีแต่ข่าวลือบางก็ว่าคาสปาร์เป็นลูกของซาตานบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง บ้างก็เชื่อว่าเขาอาจมีเชื้อพระวงค์

และแล้วก็เกิดเหตุลึกลับขึ้นเมื่อเคา สปาร์ถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง เขาได้ไปอยู่กับกับศาสตราจารย์ จอร์จ ดอร์เมอร์ เขาพยายามสอนให้เขามีความรู้กว้างขวาง แต่แล้ววันวันหนึ่งเรื่องลึกลับก็เกิดเมื่อดอร์เมอร์กลับมาบ้านมา พบ ว่าคาสปาร์นอนจมกองเลือดอยู่ที่ห้องใต้ทุนบ้าน โดยมีบาดแผลที่หน้าและลำคอ แต่ไม่ถึงตาย เมื่อคาร์ปาร์ได้สติเขาเล่าว่าถูกชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเข้ามาในบ้านและทำ ร้ายเขา จนข่าวลือนี้แพร่สะพัดจนชาวบ้านลือว่าพระญาติที่ขึ้นครองบัลลังก์บาเดนอาจ จ้างนักฆ่ามาเพื่อกำจัดรัชทายาทที่แท้จริง กระนั้นยังมีหลายคนคิดว่าคาสปาร์เป็นจอมโกหก เขาอาจสร้างเรื่องที่ถูกทำร้ายเพื่อเรียกร้องความสนใจ

ต่อมาลอร์คสแตนโฮปเกิดรู้สึกสนใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มนี้ขึ้นมา และขอรับเป็นผู้ดูแลคาสปาร์ เขาพาคาสปาร์เดินทางตามราชสำนักเล็กๆ ในยุโรป ทั้งยังพยายามพิสูจน์ว่าคาสปาร์เป็นลูกของผู้ดี แต่ความพยายามของเขากลับล้มเหลว และเขาก็เริ่มหมดความสนใจต่อตั วคาส ปาร์แล้ว จึงทิ้งเด็กนี้ไว้ให้กับ โจฮันน์ เมเยอร์ ครูสอนศาสนาใจแคบ ที่เมืองอังสบาคใกล้ๆ นูเร็มเบิร์กเป็นผู้ดูแล โดยในขณะนั้นคาลปาร์อายุ 21 ปีแล้ว และเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกหัดเข้าปกหนังสือ

เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสปาร์วิ่งพรวดพราดกลับ บ้านของเมเยอร์โดยมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หาว่าเขากุเรื่องขึ้นและทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนครั้งที่ แล้ว ซึ่งกว่าเมเยอร์จะเชื่อและเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสปา ร์ก็ได้ชีวิตลงเพราะถูกแทงที่ท้อง เขานอนตายที่สวนสาธารณะ

  ใน ที่เกิดเหตุนั้น ตำรวจพบกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ภายในมีกระดาษเขียนข้อความด้วยตัวอักษรกลับด้านที่ต้องใช้กระจกส่องอ่าน มันเขียนไว้ว่า

                "คาสปาร์จะบอกให้ว่าผมคือใคร ผมอยู่ที่หมู่บ้าน....................... ชายแดนบาวาเรีย ผมชื่อ MLO"

และผลสุดท้ายตำรวจไม่ทราบคนที่เข้ามาแทง คาสปาร์ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน คดีนี้จึงไขปริศนาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนศพของตาร์ปาสเขาถูกฝังที่สุสานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อังสปาคพร้อมปริศนาอีกมากมายในตัวเขาที่ไขไม่ออกจนถึงทุกวันนี้

เรื่องราวของคาสปาร์ยังคงเป็นปริศนาที่ถกถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด เป็นเวลานาน จนถึงปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และหลักฐานในประวัติศาสตร์มาแก้ไขในปริศนา แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับเพราะมันส่งผลทำให้ปริศนาที่จุดประกายของจินตนาการถูกทำลาย และส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวของคาสปาร์ได้ ซึ่งหลังจากนั้นมาก็ไม่มีการพิสูจน์ใดๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดของคาสปาร์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ มกุฏราชกุมารแห่งบาเดนหรือเด็กช่างโกหกเพ้อเจ้อธรรมดาๆ........


อันดับ 6 Fulcanelli



Fulcanelli (1839-1953??) เป็นนามแฝงของนักเล่นแร่แปรธาตุชาวฝรั่งเศสผู้ลึกลับ ในศวรรษที่ 19 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเขา แต่ผลงานของเขานั้นล้วนแต่สร้างความน่าอัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็น โดยเฉพาะผลงานที่เขาอ้างว่าเขาสามารถแปรธาตุ(ตะกั่ว 100 กรัม )กลายเป็นทองคำได้โดยใช้ “ผงสูตรวิเศษลับ” ของเขาโปรยให้เป็นทองต่อหน้า  Julien Champagne และ Gaston Sauvage

อีกหนึ่งผลงานที่น่าพิศวงไม่แพ้กันคือ คือเขาได้อธิบายหลักการเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งตอนนั้น  Fulcanelli ได้พบนักฟิสิกส์ปรมาณูชาวฝรั่งเศส เขาได้ให้รายละเอียดที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิวเคลียร์ อีกทั้งเขายังอธิบายเสริมว่าอีกไม่นานมนุษย์จะสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่นนี้ได้

สิ่งที่รู้เกี่ยวกับนักแปรธาตุคน นี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย สิ่งที่พอรู้ประวัติเขาคือจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น และในปี 1953 เขาเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนกันแน่ บ้างบอกว่าเขาไปสเปนไปยังปราสาทสูงๆ เพื่อนัดพบนายเก่าของเขา หรือเขาอาจยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 114 ปี หรืออาจเป็นอมตะเลยก็เป็นได้


อันดับ 5 D. B. Cooper



ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง (FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร

เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล

แม้การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศดี บี คูเปอร์นั้นจนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาหน้าที่แท้จริง  ไม่ มใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้

เรื่องราวของดี บี คูเปอร์ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด

 
อันดับ 4 Comte St Germain



เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน

เป็นที่ปรึกษาข้อราชการของกษัตริย์หลายพระองค์ในฝรั่งเศส เป็นชายหนุ่มที่เจนจัดสังคม และมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับยากอีกด้วย เนื่องจากเขามีความรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักประดิษฐ์, นักวิทยาศาสตร์, นักเล่นไวโอลิน, นักแต่งเพลง. นักการเมือง จนถึงขนามนามว่า “Wonderman”  แต่ทว่าเรื่องราวประวัติของเคาท์ เซนต์ เกอร์แมนนั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืด และน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เขาเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือตายเมื่อใด บางคนบอกว่าเขาคือทายาทที่แท้จริงในการสืบทอดราชบัลลังก์ของอังกฤษ, บุตรของกษัตริย์โปตุเกส, หรือลูกนอกสมรสของคนในราชวงค์พระองค์หนึ่ง

เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เริ่มปรากฏตัวในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 23 โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส และยังเป้นที่ไม่ไว้วางใจของบรรดาราชบริพารในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์อย่างมาก ในเวลาต่อมาเขาโดนจับขังคุกด้วยเรื่องการเมือง จึงหนีไปอังกฤษ และเสียชีวิตลงเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1784

 

อันดับ 3 The Man in The Iron Mask



ความจริงเรื่องชายหน้ากากเหล็กนั้น เป็นวรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศสนาม อเล็กซองด์ ดูมาส์ เขียนขึ้นเมื่อปี 1848 ถูกนำไป สร้างภาพยนตร์หลายครั้งแล้วโดยเรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง

ใน ปี 1703 มีชาย ลึกลับคนหนึ่งเสียชีวิตในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี และเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก สีเข้มมีจดหมายที่เจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศสเขียนถึงพระสหายในอังกฤษว่า “มีชายผู้หนึ่งสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดถูกจองจำ มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว ขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้นทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่มิห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังแน่ เพราะว่าเขาจะถูกขังคุก แต่เขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ .............”

เขาคือใคร?

จากประวัติที่สืบสาวกันมา เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้ าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศตาลี(สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา

เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า “นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่อง ราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขา ด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเอขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย”

หลัง จากนั้นไม่กี่ปี แซงต์ มาร์ ก็ถูกย้ายไปอยู่คุกที่อื่น แต่ยังรับมอบหมายให้ย้ายนักโทษลึกลับนี้ไปอยู่ด้วยกันเสมอ และการย้ายแต่ละครั้ง เขาต้องอยู่ ที่เกี๊ยวที่ปิดมิดชิดกันการสอดรู้สอดเห็นของผู้คนตลอดทาง จนบางครั้งแซงต์ มาร์เกรงว่านักโทษจะตายในเกี๊ยวเหมือนเตาอบเสียก่อ

ว่า กันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ชายหน้ากากเล็กนั้นพยายามที่จะสื่อสารกับคนภายนอกโดยการเขียนข้อความบน แผ่นโลหะแล้วโยนออกไปจากหน้าต่างที่คุมขังของเขา เผอิญมีชาวประมงคนหนึ่งมาพบเห็น จึงนำของสิ่งนี้ให้กับผู้คุมคุกโดยเห็นว่าอาจเป็นของสำคัญ และทันทีที่ผู้คุมเห็นข้อความนี้ก็จะลงมือตัดศีรษะชาวประมงคนนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีที่ชาวประมงนี้อ่านหนังสือไม่ออกจึงปล่อยไป

งานของ แซงค์ มาร์ ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งปี 1698 เขาได้รับตำแหน่งใหญ่ประจำคุกบาสตีล แห่งนครปารีส แต่ภารกิจในการกักขังและปกปิดชายหน้ากากเหล็กยังมีอยู่ พร้อมกับปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญหนักหนา และมีข้อสันนิษฐานที่เป็นยอมรับทุกฝ่ายคือ เขาน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ และต้องมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทีจะปล่อยเขาเป็นอิสระ

ถ้าเป็นในหนัง หรือในนิยายเชื่อกันว่าชายสวมหน้ากากเหล็กนี้คือ พี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดย ทั้งสองเป็นบุตรของดาตัญญัง หัวหน้าราชองครักษ์กับพระราชินีแอนน์แห่งออสเตรีย โดยสาเหตุที่จองจำน้องไว้ภายใต้หน้ากากก็เพราะเพื่อให้บัลลังก์ผู้พี่เกิด ความมั่งคงนั้นเอง

หรือจะเป็นข้อสันนิษฐานของ ลอร์ด ควิก ส์วูด เชื่อว่าชายสวมหน้ากากเหล็กก็คือบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยแนวคิดนี้มีผู้เชื่อถือกันไม่น้อย โดยให้เหตุผลคือเพื่อความมั่งคงของชาติ แต่ห้ามประหารเพราะสมัยนั้นข้อบังคับของศาสนายังเป็นเรื่องเคร่งครัด การสังหารบิดาแท้ๆ เป็นความผิดใหญ่หลวง และพระเจ้าหลุยส์เองก็ไม่กล้าสังหารบิดาตัวเองจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ สุดยอดภายใต้ชายหน้ากากเหล็กตลอดกาล

แต่ หลังจากที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ได้ราวสองปี ข่าวลือเกี่ยวกับชายหน้ากากเหล็กจึงกล่าวถึงอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วชายคน นี้คือพระเจ้าหลุยส์ 14 นั้นเอง เอาเข้าไป เพราะผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ ตัวนโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า

แม้จนบัดนี้เวลาจะล่วงเลยมากว่าสามร้อยปีแล้ว แต่ปริศนาชายสวมหน้ากากเหล็กยังไร้คำตอบตายตัว ทราบแต่ว่าหลังจากชายหน้ากากเหล็กสิ้นชีวิตลงในคุกบาสตีล ศพของเขาถูกฝังภายใต้ชื่อ Eustache Dauger ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นๆ สูญหายหมด ห้อ งคุมขังถูกทาสีใหม่เพื่อป้องกันร่องรอยบางอย่างที่อาจหลงเหลืออยู่ โต๊ะเก้าอี้ภาชนะทุกชิ้นถูกเผาทิ้งไปเกือบหมดสิ้น

แม้แต่หน้ากากเหล็กก็ถูก นำไปหลอมใหม่เพื่อยุติการสืบค้นตำนานของชายที่ยังเป็นปริศนาอยู่ทุกวันนี้



อันดับ 2 Gil Perez



Gil Perez เป็นชื่อของทหารสเปนลึกลับที่จู่ๆ เขาก็ไปปรากฏตัวที่เมืองเม็กซิโก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1593 เขาแต่งเครื่องแบบแปลกๆ เขาได้อ้างว่าเขาถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งพัดพาเขามายังประเทศนี้

เรื่องนี้เป็นเล่าเก่าแก่ ที่มีมานานกว่าสี่ศตวรรษ เล่าว่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1593 ทหารหนุ่มรายหนึ่งพลัดจากประเทศฟิลิปปินส์แล้วไปหลงอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (ระยะทางกว่า 15,000 กม.) ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่นั้นดูประหลาดสำหรับชาวเมืองมาก เขาถูกสอบสวนเขาบอกว่าก่อนที่จะโผล่มาที่นี้เขายืนรักษาการณ์อยู่ที่ทำ ทำการราชการจังหวัดในกรุงมนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์  ส่วน เขาก็หลงมาที่เม็กซิโกได้ยังไงก็ไม่ทราบ โดยเขาอ้างหลักฐานตนเองว่าที่ฟิลิปปินส์ผู้ว่าที่เขาประจำที่นั้นถูกลอบสังหาร หลายเดือนต่อมามีเรือจากฟิลิปปินส์ ได้ยืนยันว่าข่าวลอบสังหารผู้ว่าเป็นเรื่องจริง และตรงกับรายละเอียดของทหารคนนั้นเล่าทุกประการ อีกทั้งผู้โดยสารเรือบางคนก็อ้างว่ารู้จักกับ Gil Perez และสาบานได้ว่าเห็นเขาอยู่ในฟิลปปินส์เมื่อวันที่ 23

สุดท้าย Gil Perez ก็ได้กลับฟิลิปปินส์และชีวิตหลังจากนั้นของเขาก็หายไป ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาอีกเลยจัดกระทั่งบัดนี้ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์ลึกลับนี้ซึ่งสมมุติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเทเลพอเทชั่น (Teleportation) พลังลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายสสาร วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตไปมาระหว่างสองจุดโดยไม่ต้องผ่านระยะทางตรงหว่างกลาง ทั้งยังบังคับได้จากระยะไกล

เรื่องนี้ต่อมาได้รับอิทธิพลให้ นักเขียนแนวลึกลับนาม เอ็ม. เค. เจสอัพ เอาไปเขียนในเวลาต่อมา


อันดับ 1 Green Children of Woolpit



 บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกัน เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและที่ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก

พวกชาวนาพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้านทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน

ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนคนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆ จางลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น

เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ "มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก" ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า "มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว"

นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงมีชีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก็ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ

นี้ เป็นเรื่องจริงปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต หรือเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันแน่??

Credit: Dominic
28 ก.พ. 56 เวลา 11:44 7,341 2 70
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...