ผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 85 หรือประจำปี 2013
ออสการ์ครั้งที่ 85 กลายเป็นงานแจกรางวัลที่อะไรหลาย ๆ อย่างไม่ได้เดินไปตามสูตรของงานในช่วงปีหลัง ๆ โดยเฉพาะการคว้ารางวัลสำคัญของ Argo หลังจากก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหลุดจากวงโคจรไปแล้ว เพราะตัวของ "เบน แอฟเฟล็ค" พลาดชิงรางวัลในสาขาผู้กำกับ แต่สุดท้ายหนังดังแห่งปีเรื่องนี้ก็เข้าวินจนได้
"มีหนังที่ยอดเยี่ยมอยู่อีก 8 เรื่องที่ทุกเรื่องมีสิทธิ์ขึ้นมาอยู่บนนี้แบบเดียวกับที่พวกเราได้มีโอกาส" แอฟเฟล็ค กล่าว หลังหนังของเขาทั้งกำกับ, แสดงนำ และอำนวยการสร้าง ได้รับการประกาศชื่อให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของสถาบันศิลปะวิทยาการภาพยนตร์ประจำปี 2013 หรือนับเป็นออสการ์ครั้งที่ 85
Argo ยังนับว่าเป็นหนังเรื่องที่ 4 ในประวัติศาสตร์ 85 ปีของออสการ์ ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์แม้ตัวของผู้กำกับ เบน แอฟเฟล็ค จะไม่ได้มีชื่อชิงรางวัลสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมก็ตาม
แม้แต่พิธีกรของงานก็ยังแซวประเด็นที่ Argo โดนมองข้ามว่า "หนังมันลับเสียจน สถาบันฯ ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนกำกับ" พิธีกรของงานแซวกรณีที่ เบน เอฟแฟล็ก พลาดชิงรางวัลออสการ์ไปแบบไม่น่าเชื่อ " พวกเขารู้แล้วว่าตัวเองทำพลาดไป เบน ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก"
โดยหนังที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง ของปฏิบัติการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทูตชาวสหรัฐฯ เมื่อปี 1979 ยังได้รับรางวัลไปอีก 2 สาขาได้แก่ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และการตัดต่อยอดเยี่ยม
ถือว่าในปีนี้นับว่าเป็นออสการ์ที่ไม่มีหนังเรื่องใดกวาดรางวัลไปสนุกอยู่เพียงเรื่องเดียว นอกจากนั้นหนังที่ได้รับรางวัลมากที่สุด กลับไม่ใช่หนังที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย โดยเป็น Life of Pi ของ อังลี ที่ได้รับรางวัลไปถึง 4 สาขามากกว่าหนังเรื่องใด ๆ รวมถึงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมของ อังลี เองด้วย
ออสการ์ตัวที่ 2 และตัวที่ 3
สำหรับสาขานักแสดงนำชาย เป็นความยิ่งใหญ่ของนักแสดงวัย 55 ปี แดเนียล เดย์-ลิวอิส ที่คว้าออสการ์ตัวที่ 3 ของตัวเองมาครองได้จากการสวมบทบาทเป็นอดีต ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ใน Lincoln ผลงานของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ถือว่าเป็นนักแสดงที่คว้าสาขานำชายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ด้านรางวัลสาขานักแสดงสมทบชายก็เป็นอดีตผู้ชนะออสการ์เช่นเดียวกันสำหรับ คริสตอฟ วอลซ์ ยอดนักแสดงชาวออสเตรีย ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายไปได้อีกครั้ง จาก Django Unchained ผลงานของผู้กำกับ เควนติน ตารันติโน หลังจากก่อนหน้านี้ วอลซ์ เคยคว้ารางวัลสาขาเดียวกันนี้ จากการร่วมงานกับ ตารันติโน ใน Inglourious Basterds มาแล้ว
ซึ่งนอกจาก วอลซ์ แล้วก็ยังมีคนเบื้องหลังชื่อดังอีก 2 คนที่คว้ารางวัลออสการ์ได้เป็นตัวที่ 2 ทั้ง อังลี กับรางวัลผู้กำกับจาก Life of Pi หลังจากเคยได้รางวัลเดียวกันนี้มาแล้วใน Brokeback Mountain ซึ่งครั้งนั้นเขาก็พลาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปอย่างน่าเสียดายเช่นเดียวกัน
ส่วน Django Unchained ยังเป็นงานที่ เควนติน ตารันติโน พิสูจน์ว่าเขาคือมือเขียนบทอันดับต้น ๆ ของฮอลลีวูดอย่างแท้จริง กับการคว้าออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมได้เป็นครั้งที่ 2 หลังเคยได้รางวัลสาขาการเขียนบทครั้งแรกเมื่อปี 1995 จากหนังเรื่อง Pulp Fiction
ออสการ์ตัวแรกของสองสาว
ขณะที่รางวัลในสาขานักแสดงชายตกเป็นของรุ่นใหญ่ที่เคยคว้าออสการ์มาแล้ว รางวัลในสาขานักแสดงหญิงกลับเป็นชัยชนะของนักแสดงที่ไม่เคยคว้ารางวัลมาก่อน
ในสาขาสมทบหญิงเป็น แอน แฮทธาเวย์ จาก Les Misérables ไปตามคาด กับการสวมบทบาทเป็นหญิงสาวชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ผู้มีชะตากรรมอันน่าเศร้า ที่ทำให้เธอได้แสดงฝีไม้ลายมือการการถ่ายทอดอารมณ์ และโชว์เสียงร้องอันไพเราะจับใจกับเพลง I Dreamed a Dream
ถือว่านักแสดงสาวคนสวยประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในขณะที่เธอมีอายุ 30 ปีพอดี หลังจากเริ่มต้นอาชีพกับบทบาทดาราวัยรุ่น ก่อนจะค่อย ๆ สร้างชื่อและพิสูจน์ตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งเคยชิงรางวัลออสการ์ และเคยทำหน้าที่พิธีกรออสการ์ร่วมกับ เจมส์ แฟรงโก ในปี 2010 มาแล้ว
ส่วนรางวัลนักแสดงนำหญิงกลับเป็นของดาราดังแห่งปี 2012 ที่มีอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น
"พวกคุณลุกขึ้นยืนตบมือกับแบบนี้ ก็เพราะสงสารที่ฉันสะดุดล้มเมื่อกี้ใช่รึเปล่าค่ะ" เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ จาก Silver Linings Playbook กล่าวหลังเกิดความผิดพลาดขึ้นนิดหน่อยระหว่างที่เธอเดินขึ้นเวทีมารับรางวัลของตัวเอง โดยถือว่าดาราวัย 22 ปีเป็นสาวที่อายุน้อยที่สุดลำดับ 2 ที่ชนะรางวัลสาขานักแสดงนำหญิง เป็นรองเพียงแค่ มาร์ลี แม็ตลิน ที่คว้าออสการ์จาก Children of a Lesser God ตอนอายุ 21 ปีเท่านั้น
ซึ่งนอกจกา Silver Linings Playbook แล้วเมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ยังโด่งดังเป็นพลุแตกจากหนังที่สร้างจากนิยายวัยรุ่น The Hunger Games โดยเธอแจ้งเกิดจากหนัง Winter's Bone ที่ทำให้ได้ชิงออสการ์ในวัย 20 ปี จากที่ก่อนหน้านั้นแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเลย