ช่วงปี พ.ศ.2461 ได้มีการประหารนักโทษสำคัญคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นเขาคือ "บุญเพ็ง"ซึ่งก่อคดีฆ่าคนตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง"ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็กแล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้งจนชาวบ้านขนานนามว่า "บุญเพ็ง หีบเหล็ก"(สมัยนั้นไม่มีการใช้นามสกุล คำว่าหีบเหล็กต่อท้ายเป็นฉายามาจากพฤติกรรมฆ่าแล้วหั่นศพ จากนั้นก็นำมาใส่หีบเหล็กแล้วยกขึ้นรถเจ๊กลากไปทิ้งที่คลอง) บุญเพ็งคือฆาตกรฆ่าหั่นศพคนแรกของเมืองสยาม...ได้ฉายาจากชาวต่างชาติว่า "The Murderer Iron Box"
บุญเพ็ง หีบเหล็ก
บุญเพ็ง เกิดที่ท่าอุเทน จ.นครพนม พ่อมีเชื้อสายจีน แม่เป็นชาวญ้อ(ลาว) พออายุได้ 3 ขวบ จึงอพยพมาอยู่ที่บางปะกอก พอเติบใหญ่เป็นหนุ่มได้ศึกษาทางไสยศาสตร์จากหลายสำนักจนเก่งในเรื่องพยากรณ์ เมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด ประกอบกับเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาดีจึงเป็นที่หมายปองและถูกตาถูกใจของเพศตรงข้าม (บางที่บอกว่าถูกเลี้ยงดูโดยตา-ยาย ซึ่งตา-ยายได้ห้ามไม่ให้ไปเรียนพวกไสยศาสตร์ แต่บุญเพ็งเองก็ไม่ได้สนใจอะไร)
ด้วยความที่เป็นคนมีเสน่ห์จึงมักเกิดปัญหาสาวๆแก่งแย่งกันบ่อยครั้ง พออายุได้ 27 ปี ก็ไปบวชเป็นพระอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ 2 พรรษา ผ้าเหลืองร้อนจึงลาสิกขาบทออกมาประกอบอาชีพหมอดู หมอยา รับทำเสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอย ฯลฯ...ใช้ชีวิตเสเพลดื่มสุรายาเมาและเล่นการพนัน จนกระทั่งกลายเป็นผีพนันถอนตัวไม่ขึ้น เขาต้องการเงินจำนวนมากเพื่อเล่นการพนัน วิธีง่ายๆแต่ได้เงินมากและรวดเร็วที่สุดในสมัยนั้น คือ"ฆ่าชิงทรัพย์" และแล้วการฆาตกรรมต่อเนื่องก็บังเกิด
เหยื่อรายแรก คือนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย บุญเพ็งก็ร่วมมือกับนายจรัลลูกสมุนคู่ใจ ฆ่าแล้วนำเงินและทรัพย์สินมาแบ่งกันและหั่นศพเป็นชิ้นใส่หีบเหล็ก (บางแหล่งข่าวบอกว่าไม่ได้หั่นศพ แต่ยัดใส่หีบเลย...บางแห่งบอกว่าจำเป็นต้องหั่นแขน-ขาของศพเพราะยัดศพใส่หีบไม่ได้ ที่สำนักของเขามีหีบเหล็กโบราณอยู่ถึง 7 ใบ แต่บางที่ก็บอกว่ามีแค่ 3 ใบ) และให้นายจรัลจ้างรถเจ๊กไปทิ้งที่คลองบางลำพูเวลาเที่ยงคืนเพื่อทำลายหลักฐาน พร้อมกับหีบเหล็กที่หายไป 1 ใบ
เหยื่อรายที่ 2 เป็นชายไม่ทราบชื่อ รู้แต่ว่าเป็นผีพนันและวันนั้นเขาได้เงินพนันมาบุญเพ็งและนายจรัลเลยวางแผนล่อไปฆ่าเพื่อชิงเงินพนันและแบ่งทรัพย์สิน หั่นศพเป็นชิ้นใส่หีบเหล็กแล้วให้นายจรัลเอาไปทิ้งที่คลองบางลำพูอีกศพ พร้อมกับหีบเหล็กที่หายไปอีก 1 ใบ
วันเวลาผ่านไปพร้อมกับหีบเหล็กที่หายไปทีละ 1 ใบจนมาถึงเหยื่อรายสุดท้าย เป็นคุณนายของท่านขุนสิทธิคดี (ปลั่ง) รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้วกลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบตนเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา สุดท้ายบุญเพ็งทนไม่ไหวจึงต้องฆ่า
วันสุดท้ายที่คนพบเห็นนางปริก เธอแต่งตัวสวยงาม ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรทองนินจินดาเต็มตัวเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่ จนใครๆรู้สึกว่าสวยเป็นพิเศษ โดยหารู้ไม่ว่านี่คือวาระสุดท้ายของนางปริกและลูกในท้องของเธอ คราวนี้มาแปลกเพราะบุญเพ็งลงมือฉายเดี่ยวฆ่านางปริก ปลดทรัพย์สินไปจนหมดสิ้นและหั่นศพเป็นท่อนๆยัดลงหีบ (บ้างก็ว่ายัดลงหีบไปเลยไม่ได้สับ)ใส่รถเจ๊กนำไปทิ้งที่คลองอีกเช่นเคย(และเป็นหีบใบสุดท้ายที่มี)
คราวนี้หีบเหล็กของนางปริกดันไม่จมลงสู่ก้นคลองบางลำพู แต่ลอยไปติดกอสวะ คนงมกุ้งเกิดมาเห็นนึกว่าเป็นของมีค่า แต่เมื่อครั้นเปิดออกก็มีศพผู้หญิงยัดใส่อยู่ในหีบใบนั้น อำมาตย์เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรีเริ่มสืบหาผู้ปกครองโดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์? และเพียงวันเดียวคดีหีบลอยน้ำก็คลี่คลายไขปริศนาได้อย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าศพนี้เป็นศพของนางปริก มารดาของผู้ตายเข้าแจ้งต่อตำรวจว่านางปริกลูกสาวได้แต่งตัวจะไปงานสวนจิตรลดา ก่อนออกจากบ้านวันนั้นเธอได้รับจดหมายจากนายบุญเพ็ง(ซึ่งมีความสัมพันธ์กันในขณะที่บุญเพ็งยังบวชอยู่)ให้ไปรับสร้อยที่นายบุญเพ็งยืมไป แล้วจากนั้นนางปริกก็หายไปไม่กลับบ้านอีก ตำรวจออกตามล่านายบุญเพ็งทันที
หลังจากนั้นบุญเพ็งได้หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา แล้วไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองหมายปอง และคืนนั้นเองยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้ได้โดยละม่อมในข้อหาฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด และศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัวให้ตายตกไปตามกัน(สมัยนั้นเรียกว่ากุดหัว) ณ.ป่าช้าวัดภาษี ซึ่งนักโทษรายนี้ใจแข็งมากร้องขอไม่ให้ผูกตาเพื่อขอดูโลกเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคนแม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทันจะส่งตัวเข้าหอก็ไม่มา
19 กุมภาพันธ์ 2462 (บางที่บอกว่า 19 สิงหาคม)ได้มีการประหารบุญเพ็งโดยการตัดหัว ซึ่งเป็นนักโทษที่ถูกประหารด้วยการตัดหัวเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ในช่วงประหารชีวิตนั้นเองเพชรฆาตรำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคมกริบลงบนคอ แทนที่คอจะขาดเลือดพุ่งกระฉูดกลับกลายเป็นว่าคมดาบนั้นไม่ได้ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย จนเพชรฆาตพูดว่า "มึงมีดีอะไร ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นมีคนบอกว่าเห็นบุญเพ็งคายของบางอย่างออกมาแล้วเพชรฆาตจับเขวี้ยงทิ้งหายไปในกอไผ่ (บางที่บอกว่าเป็นพระแล้วเพชรฆาตจับขว้างทิ้งเข้าไปในกอไผ่... บางที่ไม่ได้บอกว่าเป็นวัตถุอะไรแต่มีสีดำ เมื่อบุญเพ็งคาย(ถุย!?)ออกมาก็หายไป!?)
คราวนี้เพชรฆาตรำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอทันใดนั้นดาบหลังฟัน ฉับ!! คราวนี้คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวี๊ดวว๊ายระงมว่ากันว่าขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็งขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง ซึ่งว่ากันว่าอาจจะเป็นไผ่ตายคุณไสย์ครั้งสุดท้ายของเขาเพื่อที่จะป้องกันชีวิตของเขาก็เป็นได้
ศพของ บุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่ารอยสักช่วงแผ่นหลังของเขาไฟไม่ไหม้ ส่วนกระดูกนั้นบรรดาญาติเก็บใส่เจดีย์ไว้ข้างๆอุโบสถ์วัด
พ.ศ. 2536 เจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษีจึงได้ให้ช่างปั้นรูปจำลองไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์และตั้งไว้ในศาลเล็กติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่าเขาเป็นนักโทษประหารด้วยการกุดหัวคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2474 และเรียกศาลนั้นว่า "ศาลปู่บุญเพ็ง"และหีบเหล็กที่ใช้ยัดศพได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาภและเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจนถึงปัจจุบันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี(ก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องปั้นรูปจำลองของคนไม่ดีและตั้งศาลให้ด้วยแล้วยังมีคนมากราบไหว้อีก) ปัจจุบันศาลบุญเพ็ง หีบเหล็กตั้งอยู่ที่วัดภาษี ซอยเอกมัย 23 แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพมหานคร
สิ่งที่ทำให้ บุญเพ็ง หีบเหล็กได้กระทำความผิดนั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ"กิเลส"ในจิตใจของเขานั่นเอง ไสยศาสตร์ มนต์ดำของนอกรีต มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...
*****************************
เพิ่มเติม
ภาพตอนประหารชีวิตด้วยการกุดหัว(ตัดหัว)
รูปปั้นในศาลปู่บุญเพ็ง
หีบเหล็กที่ใส่ศพตั้งอยู่ในศาล
หมายเหตุ : ภาพการประหารชีวิตนี้ไม่แน่ใจว่าจะใช่การประหารชีวิตของ บุญเพ็ง หีบเหล็ก รึเปล่า!? ข้อมูลบางที่บอกว่าใช่ ส่วนตัวเนื้อหาก็แตกต่างกันไป บางที่บอกว่าบวชเป็นพระก่อน จากนั้นก็สึกออกมาเปิดสำนักหมอดู รับทำคุณไสย ทำเสน่ห์ ซึ่งในช่วงนี้เองที่เขาได้ทำการฆาตกรรมเหยื่อหลายราย หลังจากนั้นก็ได้กลับไปบวชอีกทีแล้วได้สึกออกมาเพื่อจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง บางที่ก็บอกว่าทำการฆาตกรรมเหยื่อตั้งแต่ในช่วงที่บวชเป็นพระครั้งแรกเลย จากนั้นก็โดนจับสึกด้วยข้อหาอะไรสักอย่างนี่แหละ(จำไม่ได้แล้ว)แล้วออกมาเปิดสำนักหมอดู ทำเสน่ห์ ทำคุณไสย บางที่ก็บอกว่าบวชรอบเดียว หลังจากสึกออกมาก็หันไปเปิดสำนักหมอดู ทำคุณไสยและก่อคดีฆาตกรรม จากนั้นได้หนีไปกบดานพอเรื่องซาลงก็กลับมาเปิดสำนักหมอดูอีกที แล้วก็ถูกตำรวจที่ตามสืบสวนคดีนำกำลังมาล้อมจับไว้ได้ นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องสถานที่เกิดและปี พ.ศ.ต่างๆ ที่แต่ละแห่งบางครั้งก็บอกไว้ไม่ตรงกันคะ แต่รายละเอียดและพฤติกรรมส่วนใหญ่จะเป็นตามเนื้อหาที่เอามาลงนี่แหละ...
ถ้าข้อมูลผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
**********************************************