หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
(มติชนสุดสัปดาห์ ก.พ.2556)
ว่าจะไม่เขียนเรื่องซากโรงพัก 396 แห่ง แต่พอได้ยินว่าคนทำสัญญาไม่ผิดแต่รัฐบาลใหม่บริหารสัญญาไม่เป็นเอง ชาวบ้านก็อยากจะบอกว่า...อย่าดูถูกกู กูไม่โง่ และขอร้องว่าคนทำสัญญาอย่าแกล้งโง่ เพื่อจะเสียค่าโง่
คดีซากรถดับเพลิง, ซากโรงพัก 396 แห่ง และการต่อสัญญารถไฟฟ้า BTS เป็นบทเรียนการเสียค่าโง่ จากอดีต ปัจจุบันและจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อาจจะมิใช่ไม่มีฝีมือในการบริหารสัญญาอย่างที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวอ้าง
แต่เป็นเพราะการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการก่อนร่างสัญญา
โครงการสร้างโรงพัก 396 แห่งและแฟลต 163 แห่ง...
ค่าโง่ปัจจุบัน วงเงินหมื่นล้าน
ค่าโง่จากเรื่องนี้มิใช่มีเพียงแค่เงินและเวลา แต่คนที่อยากได้ส่วนแบ่งจากโครงการ นี้ ไม่มีสามัญสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคม นำเอาความเดือดร้อนและความปลอดภัยของประชาชน กับตำรวจมาหาประโยชน์ เรื่องนี้จะเป็นตำนานของคนที่กล้าโกงตำรวจทั้งประเทศ
17 กุมภาพันธ์ 2552 ครม.ยุคนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนอนุมัติหลักการสร้างโรงพักใหม่ทดแทนโรงพักที่เก่าเกิน 30 ปี ตามที่ สตช. เสนอมา หลังจากตั้งรัฐบาลในค่ายทหารได้ 2 เดือน
18 พฤษภาคม 2552 พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ในฐานะที่ เป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานกรรมการที่เสนอให้การประมูล สร้างโรงพักทดแทนโรงพักเก่า โดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (9 ภาค) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับทราบ..ถึงตรงนี้ทุกอย่างปกติ
18 พฤศจิกายน 2552 เวลาผ่านไป 6 เดือนเต็ม มีการสั่งยกเลิกการประมูลแบบเดิมที่แบ่งเป็น 9 ภาค ทั้งการสร้างโรงพัก 396 แห่ง วงเงินเกือบ 6,300 ล้าน และการประมูลสร้างแฟลตตำรวจ วงเงิน 3,700 ล้าน และให้เปลี่ยนเป็นการประมูลแบบใหม่ ให้เลือกผู้รับเหมารายเดียวทำทั้งประเทศ
ช่วงนั้นรัฐบาลเปลี่ยน ผบ.ตร. เป็น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ตั้งแต่เดือนตุลาคม และ พล.ต.ท.พงศพัศ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว เรื่องนี้กลายเป็น พงศพัศเสนอวิธีที่ดีแต่ไม่ทำ กลับไปเปลี่ยนวิธี ทำให้เสียค่าโง่ โรงพักกลายเป็นตอ
1. ทำไมต้องเปลี่ยนให้มันยากขนาดนั้น ทำแล้วมีผลดีตรงไหน? ดีกับใคร?
2. ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำสั่งยกเลิกการประมูลแบบ 9 ภาค และเปลี่ยนวิธีจัดจ้าง?
อย่าอ้างว่า ตำรวจเสนอมาเพราะข้าราชการไม่ว่าใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีน้ำยาที่จะทำเรื่องแกล้งโง่ขนาดใหญ่อย่างนี้ได้ เรื่องนี้ทำไมรองนายกฯ สุเทพจึงไม่ค้าน มีแต่ผู้รับเหมาที่คัดค้าน แต่ผลสุดท้าย ทุกคนต้องยอมตามผู้มีอำนาจ
3. ทุกคนรู้แก่ใจว่าบริษัทเดียวไม่สามารถทำเสร็จให้ทันเวลาทั้ง 396 แห่ง แต่สามารถขออนุญาตให้มีคนรับช่วงงานได้ แต่ผู้ว่าจ้างต้องยอมอนุมัติ ดังนั้น คนที่กล้าประมูลงานนี้และรับงานไปทำ ต้องมั่นใจว่าตนเองเส้นใหญ่พอ ที่จะจ่ายงานให้ผู้รับเหมา รับช่วงต่อไปได้โดยได้รับอนุมัติ และถึงไม่ได้รับอนุมัติก็ไม่มีใครกล้ามายุ่ง
4. มีการเบิกเงินล่วงหน้าค่าก่อสร้าง 15% ซึ่งทำได้เพราะไปเขียนไว้ในเงื่อนไข ที โอ อาร์ในยุคของ พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ โดยมี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับทราบ
ผู้ประมูลงานได้จึงมีสิทธิเบิกเกือบ 900 ล้านไปใช้ แต่เบิกไปตั้งแต่เมื่อใด? ทำไมผู้รับเหมาจึงไม่ได้รับเงินเพื่อไปใช้ในการก่อสร้าง จึงต้องทิ้งงาน? เงินเดินทางไปเที่ยวที่ไหน? ต้องติดตาม
5. การขยายเวลาในสัญญา ...ไม่เพียงแต่สาเหตุเรื่องน้ำท่วม แต่การส่งมอบพื้นที่ล่าช้าของโรงพักหลายแห่ง เป็นข้ออ้างทำให้ผู้รับเหมาขอขยายเวลาเพื่อต่อสัญญา ตำรวจที่อยู่ในท้องที่แจ้งว่าเป็นเพราะหลายโรงพักไม่มีพื้นที่ว่างให้สร้างโรงพักใหม่ จำเป็นต้องรื้อโรงพักเก่า แต่ตำรวจต้องทำงานตามปกติ การขยับขยายพื้นที่เพื่อส่งมอบจึงไม่สามารถทำให้ได้ตามกำหนด เมื่อถูกเร่ง พวกเขาก็ต้องขยับขยายไปตามมีตามเกิด ผลสุดท้าย เมื่อโรงพักเก่าถูกรื้อ และโรงพักใหม่สร้างไม่เสร็จ สภาพการทำงานของตำรวจเหล่านั้น จึงอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม น่าอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง
แต่จะเห็นว่าไม่ว่าจะส่งมอบพื้นที่เร็วหรือช้า ก็ไม่มีโรงพักไหนสร้างเสร็จเพราะเหตุผลหลักคือผู้ประมูลได้ จ่ายเงินให้คนก่อสร้างจริงน้อยมาก ทุกคนจึงต้องทิ้งงาน
ส่วนเรื่องค่าปรับ อย่าไปฝัน...เพราะคนที่กล้าโกงตำรวจทั้งประเทศไม่คิดจะเสียค่าปรับอยู่แล้ว
รัฐบาลปัจจุบัน
บริหารสัญญาไม่เป็นเลยทำไม่เสร็จ จริงหรือ?
การที่ ปชป. อ้างว่า มีการเซ็นสัญญา สร้างโรงพัก 396 แห่ง ก่อนการเลือกตั้งปี 2554 ไม่กี่เดือน หลังจากนั้นมีเวลาเป็นปีที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องไปหาวิธี บริหารสัญญา ตามงบประมาณและเวลา ให้บรรลุเป้าหมาย ห้ามมาโทษผู้เซ็นสัญญา
ถ้าเป็นแบบนี้ มีคนไปเซ็นสัญญาเสียเปรียบ สัญญาขี้โกง สัญญาที่ทำไม่ได้ รัฐบาลชุดถัดไปก็ต้องเตรียมจ่ายค่าโง่ทุกครั้งไป
ที่รัฐบาลชุดนี้ ยังไม่ยกเลิกสัญญา เพราะอีกเพียงเดือนเดียวก็จะหมดอายุสัญญา หลังจากนั้นควรจัดการฟ้องร้องหาคนผิดมาลงโทษ เรียกค่าเสียหายให้สมกับความเดือดร้อนของตำรวจและประชาชน
ส่วนสัญญาใหม่ ควรใช้การประมูลเป็นรายจังหวัด ซึ่งจะแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องผูกพันกัน ทั้งงบประมาณและเวลา
ตัวอย่างการบริหารสัญญา
การซื้อรถและเรือดับเพลิง
...การเสียค่าโง่ในอดีต 6,687 ล้าน...
เรื่องฝีมือการบริหารการจัดซื้อจัดจ้างตามสัญญา ต้องมาดู 8 ปี กทม. ในยุค ปชป.ได้แสดงฝีมือให้เห็นในการซื้อรถและเรือดับเพลิงมูลค่า 6,687 ล้าน เดิมเรื่องนี้เป็นแค่ข้อตกลงแบบ AOU ต่อเนื่องมาจากสมัยสมัครเป็นผู้ว่าฯ จึงสามารถที่ยกเลิกสัญญาได้ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แกนนำ ปชป. เวลานั้น ก็เห็นว่าไม่ควรเปิด L/C แต่สุดท้ายผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็ตัดสินใจเปิด L/C ในปี 2548 มีแกนนำ ปชป. โวยวายกันอยู่พักหนึ่งและก็เงียบไป แต่เรื่องนี้ถูกกลบด้วยความขัดแย้งทางการเมือง และการรัฐประหาร ในปี 2549 จนกระทั่งมีการส่งมอบรถดับเพลิง แต่มีปัญหายาวนานต่อเนื่อง
รถและเรือจึงถูกจอดทิ้งไว้อยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังมาประมาณ 6 ปีแล้ว ข้ามมาจนหมดสมัย ผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ และ กทม.ก็จ่ายเงินเป็นงวดๆ ตามสัญญาให้กับบริษัทสไตเออร์จนครบ 6,687 ล้านบาท บริษัทไทยและคนติดต่อ ก็รับค่านายหน้าไปแล้ว
แต่ปัจจุบันรถและเรือดับเพลิง ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติการได้ และ กทม. ยังค้างจ่ายค่าภาษีศุลกากรอีกประมาณ 1,300 ล้านบาท
ตอนรับรถก็อยู่ในสภาพใหม่ แต่จอดตากแดดตากฝนมา 6-7 ปี สภาพวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่ แถมต้องเสียค่าเช่าที่อีก เรื่องนี้คงต้องตกไปอยู่ในมือผู้ว่าฯ คนที่จะชนะเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องถูกกล่าวหาว่าไม่สามารถบริหารจัดการให้ดีอีกตามเคย ทั้งๆ ที่ ปชป. บริหารอย่างสุดฝีมือมาตั้งแต่เป็นรถจนกระทั่งกำลังจะกลายเป็นเศษเหล็ก
ดังนั้น ผู้ว่าฯ คนต่อไปต้องแสดงฝีมือบริหารเศษเหล็ก 6,687 ล้าน ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
อย่าดูถูกว่าเราไม่รู้
เรื่อง ค่าโง่ในอนาคต กรณีต่อสัญญา BTS 190,000 ล้าน
เรื่องในอดีตทำให้ต้องคาดการณ์เรื่องอนาคต ที่ กทม. ต่อสัญญาจ้างบริหารกับ BTS ล่วงหน้า 17 ปี ทั้งๆ ที่ควรจะทำในวาระของผู้ว่าฯ คนใหม่ถัดจากนี้ไปอีกสองสามคนคือในระยะเวลา 10-12 ปีข้างหน้า
แต่วันนี้มีการต่อสัญญาไปแล้ว โดยไม่รู้ว่าอนาคตอีก 17 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะพัฒนาล้ำหน้าไปแค่ไหน อาจมีผู้มารับจ้างที่มีเทคโนโลยีที่ดีและถูกกว่าก็ได้ แต่เมื่อต่อสัญญาไปแล้ว ทำให้ผู้บริหาร กทม. และรัฐบาลในอนาคตต้องเตรียมใจรับปัญหา
รีบต่อสัญญาทำไม?
ค่าจ้างบริหาร 190,000 ล้าน ทั้งส่วนต่อขยายและของเดิมซึ่งจะหมดสัญญาอีก 17 ปี จะได้รับการต่อสัญญาไปหมดพร้อมกันในอีก 30 ปีข้างหน้า ทำไมไม่ต่อสัญญาของส่วนต่อขยายเพียงแค่ 17 ปี จะได้หมดสัญญาพร้อมกันใน 17 ปีข้างหน้า
เพราะนี่คือการชิงความได้เปรียบ ของ BTS ที่ชิงยึดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ซึ่งเจริญที่สุดไว้ในมืออีก 30 ปี
จะเกิดอะไรขึ้นใน 5-10 ปี ข้างหน้า คือ กทม.และปริมณฑล จะมีเครือข่ายรถไฟฟ้าของรัฐบาล ทั้งเหนือดินและใต้ดินทั่วไปหมด ไปไกลถึงบางบัวทอง บางแค ปากน้ำ ลาดพร้าว บางกะปิ ศรีนครินทร์ ฯลฯ คนบางแคมาบางกะปิได้ด้วยรถไฟฟ้า
แต่บริเวณกลางเมือง เป็นเขตสัมปทานของ BTS ไปแล้ว อาจจะมีปัญหาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ถ้าใช้ตั๋วระบบเดียว ถ้าต่างระบบค่าโดยสารก็ต่างและยุ่งยาก
ตรงนี้จะเห็นว่าถ้าวันนี้ ต่อสัญญาเพียงแค่ 17 ปี อีก 10 ปีข้างหน้า BTS สัญญาจะเหลือแค่ 7 ปี ใกล้ระยะเตรียมการต่อสัญญาพอดี อีกทั้งอาจจะมีรายอื่นๆ ซึ่งบริหารรถไฟฟ้าสายอื่นอยู่เป็นตัวเลือก ทำให้เกิดการแข่งขันและต่อรองได้ ทั้งค่าจ้าง ค่าโดยสาร
แต่การต่อสัญญาอีก 30 ปี จะทำให้อำนาจการต่อรองของรัฐลดลงทันทีเพราะ BTS จะเหลือสัญญาอีก 20 ปี ยังมีอีกหลายเรื่องที่คิดว่าหลังการสอบสวนจะรู้มากขึ้น เช่น รายได้
ที่ประชาชนสงสัยไม่ใช่เรื่องที่ว่า กทม. มีอำนาจทำหรือไม่ แต่พวกเขาสงสัยว่าการรีบร้อนต่อสัญญาครั้งนี้แกล้งโง่หรือเปล่า?
ใครได้ประโยชน์?
คาดว่าค่าโง่ในอนาคตจากเรื่องนี้ จะเป็นทั้งเรื่องเทคโนโลยีและค่าโดยสารทั้งระบบ แต่อาจมีค่าโง่บางส่วนอาจถูกจ่ายตั้งแต่วันนี้แล้ว อย่าคิดว่าชาวบ้านและคนที่กำลังตรวจสอบไม่ได้กินข้าว
ทั้งเรื่องรถดับเพลิง, โรงพัก 396 แห่งและต่อสัญญา BTS เป็น ค่าโง่ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ผิดพลาดซ้ำซาก มิใช่เป็นความไร้ฝีมือของคนรับผิดชอบ แต่เพราะการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการก่อนร่างสัญญา และระบบตรวจสอบ ที่ไม่มีประสิทธิภาพและเอียงข้าง
เรื่องฝีมือการบริหารสัญญา ของ ปชป. ถ้าจะยกมาอีกคงต้องทำเป็นเล่ม เรื่องใหญ่คือการบริหาร ปรส. ที่ขายทรัพย์สินของชาติ 851,000 ล้าน ให้ฝรั่งไปเพียง 190,000 ล้าน หรือเรื่องเล็กอย่างการบริหารสัญญาก่อสร้างสนามฟุตซอลที่หนองจอก การติดตั้งกล้องวงจรปิด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมากไปจึงไม่อยากพูดถึง
แต่วันนี้ดูเหมือนทีมงานหาเสียง ออกแนวมวยวัดเอาจุดอ่อนไปปะทะ แบบนี้จบเร็วแน่
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
ปชป. จะแลกหมัด...ตอนกระแสตก
ขอปิดท้ายด้วยข่าวศึกชิงผู้ว่าฯ สองยกแรกผู้ท้าชิงทำคะแนนชนะอย่างเอกฉันท์ ฝ่ายแชมป์เก่าออกอาการนิดๆ พี่เลี้ยง ฝ่ายแชมป์ก็เลยสั่งลุยแลกหมัดตั้งแต่ยกสาม ดังนั้น จึงมีผู้คิดเกมแลกหมัดขึ้นมา...เกมลากพงศพัศไปโยงกับคดีสร้างโรงพัก 396 แห่ง แต่ระวังศอกกลับ เกมนี้สงสัยว่า ผลการปะทะจะทำให้พี่เลี้ยงของ ปชป.บาดเจ็บทั้งค่าย
วันนี้สิ่งที่คุณชายควรให้ทีมหาเสียงของ ปชป. ทำคือ หาเสียงอยู่ในกรอบของการเมือง กทม. และโจมตีให้น้อยที่สุดเพราะเมื่อออกนอกกรอบ เข้าสู่การเมืองแบบเลือกข้าง อาจถูกใจคนกลุ่มเดิมที่เลือก ปชป. อยู่แล้ว แต่ไม่ได้คะแนนเพิ่ม และจะเสียคะแนนคนกลางๆ หรือบางคนจะไม่ออกมาลงคะแนนให้เลย เรื่องการโจมตีให้น้อยเป็นเพราะทั้งคุณชายและ ปชป. มีแผลบาดเจ็บเต็มตัว ถ้าฝ่ายตรงข้ามโต้ตอบกลับมา อาการเจ็บช้ำจะกำเริบและอาจเสียหายไปถึงคนอื่นๆ ด้วย
ผู้ช่วยคุณชายหายไปไหน?
คำถามนี้ยังไม่มีใครตอบได้จริงๆ มีแต่คนคาดว่า ตำแหน่งรองผู้ว่าฯ ของคุณชาย ถ้าชนะเลือกตั้ง จะต้องถูกแบ่งสรรให้หลายฝ่ายตามที่ตกลงกัน คนที่คิดว่าไม่ได้ตำแหน่งก็เลยเงียบหายไป
และวันนี้ผู้ช่วยขาเก่าของคุณชายบางคนอาจจะแอบหัวเราะอยู่ในใจที่เห็นสไตล์หาเสียงแบบอ้างการเผาบ้านเผาเมืองและทักษิณจะยึด กทม. แล้วอ้างการซื้อเสียง
พวกเขานึกถึงนักการเมืองรุ่นเก่าบางคนที่ไร้วิสัยทัศน์ แต่ไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้มาก
บางทีการจากไปอย่างเงียบๆ จะดีที่สุดแถมปลอดภัยจากการเป็นเป้าทางคดีต่างๆ
พวกเขาจะปล่อยให้พวกหัวรุนแรงแลกหมัดและแพ้น็อกอย่างสะใจ