หมายเหตุ - รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิจัยที่ติดตามสถานการณ์ภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group เขียนบทความวิเคราะห์กรณีเหตุการณ์ปะทะระหว่างกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เป็นเหตุให้กลุ่มผู้การความไม่สงบเสียชีวิต 16 ราย
16 ชีวิตในปฏิบัติการโจมตีครั้งเดียวนับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญสำหรับขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี ข่าวนี้สร้างกระแสความตื่นตัวในสังคมไทยต่อเหตุการณ์ในชายแดนภาคใต้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโดยปกติเป็นประเด็นที่สาธารณชนในสังคมไทยให้ความสนใจน้อยลงไปทุกที
คำถามคือ เราจะอ่านเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร
ข้อมูลจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาคสี่ส่วนหน้า ระบุว่า ชายฉกรรจ์ประมาณ 50 คน แต่งกายด้วยชุดทหาร สวมเสื้อเกราะ มีผ้าพันคอสีขาวได้ขับรถกระบะ 3 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน พร้อมอาวุธสงครามในมือเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ในเวลาประมาณตีหนึ่ง ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังปะทะกันประมาณ 10-15 นาที "ผู้ก่อเหตุรุนแรง" เสียชีวิตที่บริเวณข้างฐาน 14 คน อีก 2 คน เสียชีวิตในการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ติดตามไปขณะล่าถอย
หนึ่งในผู้เสียชีวิตมีนายมะรอโซ จันทรวดี แกนนำกลุ่มติดอาวุธที่มีค่าหัวสองล้านรวมอยู่ด้วย ซึ่งแหล่งข่าวทหารในพื้นที่ระบุว่าเป็นหัวหน้าระดับ "กอมปี" (company) ที่คุมพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส อ.ยี่งอ และ อ.สายบุรี (บางส่วน) ใน จ.ปัตตานี
เหตุการณ์โจมตีฐานทหารในพื้นที่ขัดแย้งในชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างน้อย 5 ครั้ง
ครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่จำกันได้ดี คือการบุกปล้นปืนจากค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) ใน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ซึ่งนับเป็นการเปิดฉากการต่อต้าน "อาณานิคมสยาม" อย่างเต็มรูปแบบขึ้นอีกครั้ง
หลังจากนั้นอีกเจ็ดปีก็ไม่มีการโจมตีค่ายทหารอีกเลย จนกระทั่งวันที่ 9 มกราคม 2554 ในเหตุการณ์ที่เรียกกันติดหูว่าการโจมตี "ฐานพระองค์ดำ"
ในเหตุการณ์นั้นกลุ่มติดอาวุธได้โจมตีฐานกองร้อยทหารราบใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และกวาดปืนไปกว่า 400 กระบอก และทหารถูกยิงเสียชีวิต 4 นาย
ทั้งสองเหตุการณ์นับเป็นความพ่ายแพ้ที่อดสูของฝ่ายทหาร
นับจากนั้นมีความพยายามโจมตีฐานทหารอีกอย่างน้อย 3 ครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ครั้งแรก คือ การบุกโจมตีฐานปฏิบัติการหมวดของทหารนาวิกโยธินที่บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี ใน อ.บาเจาะ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม มีการปะทะเดือดประมาณ 20 นาที แต่กลุ่มติดอาวุธไม่สามารถเข้าไปภายในฐานได้
เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารราบในพื้นที่บ้านกาโดะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทหารได้รับข่าวสารจากชาวบ้านก่อน จึงได้ออกลาดตระเวนและเกิดการปะทะนอกฐานขึ้น ฝ่ายขบวนการเสียชีวิต 2 คน
ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นใน อ.รือเสาะ เช่นกัน เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กลุ่มติดอาวุธเปิดฉากด้วยการบุกกราดยิงบ้านคนพุทธข้างฐาน ก่อนกระหน่ำยิงฐานกองร้อยทหารราบที่บ้านท่าเรือ ในเหตุการณ์นั้นมีทหารเสียชีวิต 1 นาย ชาวพุทธ 2 คน เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธที่โดนยิงบาดเจ็บน่าจะเสียชีวิตด้วย 2-3 คน
เหตุการณ์ที่บ้านยือลอในครั้งนี้ นับเป็นการโจมตีฐานทหารครั้งแรกในปี นี้ ผู้เขียนอยากจะตั้งข้อสังเกต 3 ประการ
ประการแรก ความสำเร็จในทางยุทธวิธีของทหารครั้งนี้ อาจจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ทหารมืออาชีพ ในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีการต่อสู้ทั้งทางการรบและงานมวลชนอย่างแหลมคม
ตามข้อมูลสัมภาษณ์ของผู้บังคับการของทหารนาวิกโยธินในสื่อ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการค้นพบแผนผังและข้อมูลของฐานที่เป็นเป้าหมายในการโจมตีจากวัตถุที่ยึดมาได้จากกลุ่มติดอาวุธในช่วงสิบวันก่อนหน้า ประกอบกับการให้ข่าวจากประชาชนในพื้นที่
การได้มีโอกาสรู้ล่วงหน้า ทำให้ทหารเริ่มเตรียมพร้อมและเสริมกำลังก่อนหน้า
งานการข่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในพื้นที่ขัดแย้งที่ความซับซ้อน ฉะนั้น การปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพจำเป็นจะต้องใช้มืออาชีพที่เกาะติดพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
ประเด็นนี้เป็นปัญหาของกองทัพมาโดยตลอด ทหารนอกพื้นที่มาประจำการเพียงหนึ่งปีก็กลับไป แม้จะปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่ก็ขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่การแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการใช้ทหารพรานมาปฏิบัติหน้าที่แทนทหารหลัก ก็อาจจะสร้างมากกว่าแก้ปัญหา เนื่องจากคุณภาพของบุคลากรและการฝึกอบรมที่ไม่อาจเทียบกับทหารอาชีพได้
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่ควบคุมของทหารพราน ผลลัพธ์อาจไม่ออกมาในลักษณะนี้ก็เป็นได้ นโยบายในการใช้ทหารพรานแทนทหารหลักของกองทัพจึงควรจะมีการทบทวน
ประการที่สอง เราจะเข้าใจความตายของคนเหล่านี้อย่างไร ความเห็นในโลกของคนพุทธที่ปรากฏในสื่อต่างๆ แสดงความสะใจที่พวก "ผู้ก่อการร้าย" "สุดโต่ง" เสียชีวิต
ในอีกโลกหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง คนมลายูมุสลิมในภาคใต้ที่ไปร่วมงานศพพวกเขาตะโกนป่าวร้อง "อัลลอฮ อัคบัร" (พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) ขณะช่วยกันส่งร่างที่ไร้วิญญาณไปสู่หลุมฝังศพ (ดูคลิปพิธีฝังศพที่ http://www.youtube.com/watch?v=lkC2yRYEZic&feature=youtu.be)
ช่วงต้นของคลิปนี้ มีคำพูดที่เขียนในภาษามาเลย์แปลได้ว่า "อย่ากล่าวว่าผู้ที่พลีชีพในหนทางแห่งพระเจ้าเสียชีวิตแล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่พวกท่านไม่อาจสัมผัสได้"
ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ แต่ก็เชื่อว่าไม่ได้มีการอาบน้ำศพก่อนฝัง ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติสำหรับ "นักต่อสู้ทางศาสนา" (นักญิฮาด) ที่เสียชีวิต (เป็นการตายในหนทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือเรียกว่า "ชะฮีด")
มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "ผู้ก่อการร้ายในทรรศนะของคนคนหนึ่งอาจเป็นวีรชนสำหรับคนอีกคนหนึ่ง" สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในภาคใต้
ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในจักรวาลทัศน์ของคนที่เข้าร่วมขบวน การต่อสู้ในยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้พวกเขามีวิธีการต่อสู้ การกำหนดว่าใครเป็นศัตรูและใครเป็นเป้าโจมตีที่ชอบธรรม แตกต่างไปจากขบวนการในอดีต
ในสายตาของพวกเขา พื้นที่ในชายแดนใต้เป็น "ดารุล ฮารบี" (ดินแดนแห่งสงคราม) ซึ่งเป็นการตีความตามหลักคิดในเทววิทยาของศาสนาอิสลาม (Islamic theology) และคนพุทธเป็น "กาฟิร ฮารบี" (คนนอกศาสนาที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินสงคราม) การสังหารคนพุทธจึงเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมในสภาวะแห่งสงคราม
ประการที่สาม การต่อสู้ที่เน้นการทหารซึ่งถูกชี้นำด้วยจักรวาลทัศน์เช่นนี้ กำลังทำให้ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองในสายตาของคนที่เคยเห็นอกเห็นใจต่อความขมขื่นของคนมลายูมุสลิมที่ถูกผู้นำสยามรุกรานและพยายามที่จะกลืนกินอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มาในอดีต
การที่คนมลายูมุสลิมเคยไม่ได้รับความยุติธรรมหรือถูกข่มเหงรังแก ไม่อาจสร้างความชอบธรรมต่อการสังหารคนพุทธซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ แม้พวกเขาจะมีคำอธิบายในทางศาสนา (ตามการตีความทรรศนะหนึ่งจากหลายๆ ทรรศนะ) แต่สิ่งนั้นกำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อครั้งผู้แทนขององค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) มาเยือนภาคใต้ของไทยในกลางปีที่แล้ว นาย Sayed Kassem El Masry ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของเลขาธิการโอไอซีได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างถึงคำกล่าวในอัลกุรอ่านว่า "การฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน เสมือนการสังหารมนุษยชาติทั้งโลก"
กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนก็เริ่มกล่าวในทำนองว่าการกระทำของขบวนการนั้นเข้าข่าย "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" (crime against humanity) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ แนวทางที่เป็นอยู่กำลังทำให้ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมในทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
เราควรจะทำอะไรเพื่อช่วยกันนำสันติภาพมาสู่ชายแดนภาคใต้? มีหลายเรื่องที่รัฐบาลควรจะดำเนินการ ซึ่งไม่อาจจะอธิบายได้หมดในบทความนี้
สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการพูดคุยกับพวกเขา (peace dialogue) เพื่อแสวงหาทางออกที่จะอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน อาจจะไม่รักกันมากแต่ก็ไม่ลุกขึ้นมาฆ่าฟันกัน แม้ว่าทหารจะชนะในสนามรบเล็กๆ ครั้งนี้ แต่การ "จับตาย" ทั้งหมด ทำให้เราสูญเสียโอกาสที่จะได้นำพวกเขามานั่งพูดคุย ซึ่งย่อมมีประโยชน์ต่อสันติภาพและความมั่นคงของประเทศมากกว่าศพที่ไร้วิญญาณ