กลางป่าลึกของเม็กซิโกและกัวเตมาลา ลึกลงไปจากคาบสมุทรยูคาทานเป็นอดีตที่ตั้งของอาณาจักรมายา ซึ่งว่ากันว่าเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญสูงสุดเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่าสองพันปีล่วงมาแล้วนั่นเอง
ถึงจะมีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างเหลือล้น มีร่องรอยของความรุ่งเรืองเหลืออยู่มากมาย แต่ที่มาและที่ไปของชาวมายาก็ยังเป็นความลับดำมืดอยู่ในหมู่นักประวัติ ศาสตร์ มายาเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกครั้งแรกในสมัยของการล่าอาณานิคม สเปนเป็นชาติแรกครับ ที่เข้าไปเหยียบย่ำดินแดนแห่งนี้ เหล่าชาวยุโรปในศตวรรษที่ 16 ต่างตื่นตะลึงไปตามๆกันเมื่อพบว่า กลางป่าลึกอันแสนรกร้างนั้นซุ่มซ่อนไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย โบราณสถานอันโอ่อ่าและปิระมิดที่สูงเสียดฟ้า คำเล่าลือเกี่ยวกับอาณาจักรนี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว และดึงเอาผู้สนใจแห่กันมาศึกษาเสียมากมาย
ชาวมายานี่ช่างมายาสมชื่อจริงๆครับ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาช่างมหัศจรรย์ราวกับเนรมิตเอาเสียอย่างนั้น ดูเมืองของเขาเถิด ปิระมิดขนาดมหึมาแตกต่างไปจากของอียิปต์โดยสิ้นเชิง วิหารและศาสนสถานมากมายบ่งบอกถึงความเจริญทางอารยธรรมของพวกเขา
รอบๆตัวเมืองมีหลักศิลาจารึกอักขระประหลาดๆอยู่มากมาย น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้แจ้งแทงทะลุกับจารึกเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะไขปริศนาบางส่วนของชาวมายาได้ ทำไมน่ะหรือครับ? ก็เพราะว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าชาวมายานั้น"มา"จากไหน และตอนนี้ชาวมายา"หาย"ไปไหนกันหมดแล้ว เพียงชั่วเวลาไม่นาน เหล่าชาวมายาผู้เคยปักหลักปักฐานอยูใจกลางอาณาจักรก็พากันหายสาบสูญไปเสีย ดื้อๆ ไปไหนกันล่ะเนี่ย? มุดลงดินหรือว่าบินขึ้นฟ้า?
มาดูกันหน่อยดีมั๊ยครับว่า เรื่องของชาวมายาที่น่าสนใจนั้นมีอะไรบ้าง
นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีต่างก็ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับต้นตอของชาวมายาแตก ต่างกันไป แม้แต่นักมานุษยวิทยาระดับอ๋องบางคนยังส่ายหน้าดิกเลยครับ หากไปถามท่านเรื่องที่มาที่ไปของชาวมายา หลายคนให้ความเห็นว่าชาวมายาน่าจะสืบเชื้อสายมาจากชาวฮิตไทต์โบราณ บ้างก็ว่าเป็นพวกอพยพมาจากกรุงทรอยหลังกรุงแตก บ้างก็ว่าเป็นพวกอียิปต์ เกาหลี จีนฮั่น ว่ากันไปโน่น ต่างคนต่างก็หาหลักฐานมายืนยันกันสุดฤทธิ์ ที่พอจะเชื่อๆกันก็คงเป็นนี่แหละครับ ทายาทของอารยธรรมที่สาบสูญ "แอตแลนติส" บรรพบุรุษของชาวมายาคือพวกผู้รอดชีวิต จากการจมดิ่งสู่ห้วงทะเลของทวีปแอตแลนติสเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนนู้น
ก็ต่างคนต่างก็มีหลักฐานนี่ครับ แม้กระทั่งข้อสงสัยที่ว่าบรรพบุรุษชาวมายาจะเป็นชาวญี่ปุ่นสมัยก่อน เพราะมีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาแบบเดียวกับสมัยโชมอนของญี่ปุ่นอยู่ เกลื่อนแถวนั้นกันหมด
ความจริงหลักฐานเกี่ยวกับชาวมายา นี้อาจจะเหลืออยู่หรอกครับ ถ้าไม่เพราะการกระทำอันแสนเจ็บปวดของบาทหลวง ดีเอโก เดอ ลันดา ท่านเป็นคนแรกที่ศึกษาเกี่ยวกับชาวมายาอย่างจริงจัง มีการบันทึกเรื่องราวอย่างละเอียดละออนับว่าเอื้อประโยชน์แก่คนรุ่นหลังไม่ น้อย แต่ก็นั่นแหละครับ เนื่องจากท่านเป็นสังฆราชองค์แรกของแถบนี้ ท่านจึงสั่งเผาตำรับตำราของชาวมายาเสียเรียบวุธ โดยอ้างว่ามันคือจารึกแห่งคาถาของปีศาจร้าย
ถ้ายังมีจารึกเก่าๆเหลืออยู่บ้าง เราก็อาจจะทราบเรื่องราวของชาวมายาได้มากกว่านี้จริงมั๊ยครับ?
เอางี้ก็ได้ ถ้านักวิชาการเค้าเถียงกันเรื่องที่มาของชาวมายากันนัก เรามาดูในตำนานเก่าแก่ของพวกเค้าซิว่า จริงๆแล้วชาวมายานั้นสืบเชื้อสายมาจากไหนกันแน่
...จากพระเจ้า
ใช่แล้วครับไม่ผิดแน่ ชาวมายาเค้าว่าอย่างนั้น พระเจ้าของชาวมายามาจากดินแดนอันแสนไกล ทรงมีเครายาวสีขาวเสด็จมาโดยเรือจากท้องฟ้า พระองค์ทรงมาดูแลชาวมายาอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง ทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการให้ ด้วยเหตุนี้ชาวมายาจึงสร้างเทวสถานไว้สักการะพระองค์ เพราะพระองค์สัญญาว่าสักวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาหาพวกเขา
พระเจ้าของชาวมายามีชื่อว่า Kukulcan อันแปลว่าพญางูบิน แหม ลงได้ชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าแบบนี้แล้ว คงไม่น่าสงสัยแล้วล่ะนะครับว่าทำไมชาวมายาสร้างสรรค์ศิลปวิทยาการเหล่านั้น ได้ ทั้งที่ความรู้ทางกลศาสตร์ของพวกเขาเท่าหางอึ่ง ไม่รู้จักแม้แต่จะสร้างเครื่องมือช่วยผ่อนแรงด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็น่าแปลกเอาการแหละ หากว่าพระเจ้าของชาวมายามาสั่งสอนพวกเขาจริง ทำไมเล่าพระเจ้าจึงได้สอนแต่หลักการคำนวณ และดาราศาสตร์ให้ โดยไม่ยอมสอนเรื่องของการสร้างเครื่องผ่อนแรง หรือเครื่องมือในการก่อสร้าง
สัญลักษณ์เดือนของชาวมายาเค้าล่ะครับ
ชาวมายาที่เก่งกาจในทางคณิตศาสตร์และการคำนวณ สามารถรู้วิถีโคจรของดวงดาวในระบบสุริยะได้กระจ่างราวกับนิ้วในมือ ทำไมแม้แต่เครื่องมือก่อสร้างง่ายๆพวกเขาก็สร้างไม่เป็น เคยสงสัยกันบ้างไหมครับ?
ถ้าว่ากันถึงความรู้ของชาวมายา ยิ่งน่าอัศจรรย์ใจใหญ่เลยครับ ทั้งๆที่พวกเขาเป็นแค่ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่กลางป่าดงดิบออกอย่างนั้น พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์และคฌิตศาสตร์เป็นเยี่ยม ขัดกันมากับความรู้ขั้นต่ำในด้านการใช้แรงงานและครองชีพอย่างที่ว่ามา เชื่อหรือไม่ครับ ชาวมายานั้นคิดปฏิทินขึ้นมาได้ตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว แถมยังคำนวณวันเดือนปีเดินหน้าถอยหลังไปถึงสี่ร้อยล้านปี สี่ร้อยล้านปี!! รู้จักวงโคจรของดาวศุกร์(Venus)ราวกับตาเห็น ทั้งที่กล้องดูดาวก็ไม่มีใช้กัน นอกจากนั้นยังรู้จักดาวยูเรนัสและเนปจูนเสียด้วย ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้เอง
ปิระมิดของชาวมายาก็มีความหมายครับ ทุกด้านประกอบด้วยบันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของปิระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปีพอดี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู ไม่น้อยหน้าคนสมัยใหม่อย่างพวกเราซักนิด
ถ้ายังมีจารึกเก่าๆเหลืออยู่บ้าง เราก็อาจจะทราบเรื่องราวของชาวมายาได้มากกว่านี้จริงมั๊ยครับ? เอางี้ก็ได้ ถ้านักวิชาการเค้าเถียงกันเรื่องที่มาของชาวมายากันนัก เรามาดูในตำนานเก่าแก่ของพวกเค้าซิว่า จริงๆแล้วชาวมายานั้นสืบเชื้อสายมาจากไหนกันแน่ ปิระมิดของชาวมายาก็มีความหมายครับ ทุกด้านประกอบด้วยบันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของปิระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปีพอดี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู ไม่น้อยหน้าคนสมัยใหม่อย่างพวกเราซักนิด
ดินแดนมายาโบราณ ประกอบไปด้วยส่วนๆต่างหลายส่วน ถ้านับส่วนใหญ่ๆ เราสามารถแยกแยะแหล่งความเจริญได้ 3 กระจุก โดยนับตามโบราณสถานและศาสนพิธีที่มีอยู่ ส่วนแรก ประกอบด้วยเมืองสำคัญๆ คือ ติกัล(Tikal) เพเตน(Peten) และปาเลงกอ(Palenque) สามจุดนี้แหละครับที่ถือเป็นดินแดนโบราณของชาวมายาอย่างแท้จริง ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบริเวณดังกล่าวนี้ เป็นป่าทึบ และหินใหญ่น้อยมากมาย ส่วนที่สองอยู่ทางตอนเหนือของทวีปครับ ประกอบด้วยคาบสมุทรยูคาทาน เมืองสำคัญที่มีก็ ชิทเซนเช่น อิทซา(Itzar) อักซ์มัล(Uxmal) มายาปัน(mayapan) แหละตอนสุดท้ายอยู่ทางใต้ติดกับพรมแดนของฮอนดูรัส มีเมืองที่สำคัญคือ โคปัน(Copan) ครับ
ดินแดนสำคัญที่สุดของพวกเขาอยู่ตรงใจกลางอาณาจักรครับ เป็นส่วนที่เรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ ประกอบด้วย เมืองติกัลและปาเลงกอ มีสิ่งก่อสร้างทางศาสนาอยู่มากมาย อาทิเช่น ปิระมิด เทวสถาน ศิลาจารึก และอื่นๆอีกบานตะเกียง บริเวณส่วนนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามครับ สงวนไว้ให้สำหรับ "พระเจ้า" โดยเฉพาะ คนที่จะเข้าไปได้คือเหล่านักบวชและผู้ได้รับอภิสิทธิเท่านั้น พลเมืองธรรมดาจะอาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามแนวป่ารอบนอกเทวสถานออกไป พวกเขาจะเข้ามาได้ก็เฉพาะในตอนที่มีพิธีบวงสรวงหรือว่างานรื่นเริงประจำปี เท่านั้นเอง
ภาพเทวสถานแห่งเมืองติกัล
ทีนี้เราลองมาดูสถาปัตยกรรมของชามายากันดูบ้างครับ ว่าน่าพิศวงสักเพียงไร...
ปิระมิดของชาวมายามีความสูงกว่า 150 ฟุต ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน บนยอดปิระมิดจะแบนราบแตกต่างไปจากของอียิปต์ที่ปลายแหลม ปิระมิดของชาวมายาอีกแห่งอยู่ที่เมืองติกัลครับ อันนั้นสูงตั้ง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องหับอยู่มากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน ภาพเหล่านี้ทำให้นักสำรวจรู้สึกฉงนฉงายไปตามๆกัน เพราะมันบอกอะไรประหลาดๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอารยธรรมมายาให้เราทราบได้แยะเชียว
นอกจากนี้ ตามเมืองใหญ่น้อยยังมีป้อมปราการสร้างเป็นเชิงเทิน และมีสิ่งก่อสร้าง ที่เรียกว่า วั่ง อีกหลายแห่ง เช่นเมืองติกัล มีวังซึ่งเป้นอาคารสี่ชั้น ประกอบด้วยจำนวนมากมายถึง 42 ห้อง เมืองอักซ์มัลก็มีโรงแสดงละครขนาดมหึมา นอกจากนี้ยังมีวิหารของพวกนักรบและปฏิทินขนาดใหญ่อันโอ่อ่า เร็วๆนี้เองก็มีการค้นพบเมืองใหม่ของชาวมายาที่ชื่อว่า ซิบบิลคัลทูน(Dziblchantun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls ดูเอาเถอะครับ ชาวมายารู้จักสร้างสรรค์ศิลปกรรมเหล่านี้ได้อย่างร ทั้งที่เครื่องมือผ่อนแรงก็ไม่รู้จัก รถเทียมม้าเทียมลาก้ไม่รู้จักใช้ ทำยังกับมีรถยนต์ขนส่งหรือเครนยักษ์ใช้ซะอย่างนั้นแหละ
อ่างเก็บน้ำและเทวสถานบริเวณคาบสมุทรยูคาทาน
แต่ยังครับ ยังมีสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้น นักโบราณคดียังได้พบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำถึง 13 แห่งในเมืองติกัล ติดกับบริเวณศักดิ์สิทธิ ต่อมาก็พบท่อส่งน้ำและทางระบายน้ำชั้นดีที่ทำเอาการประปาสมัยนี้ยังอาย ใครครับ? ใครกันสอนให้ชาวมายาประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นเมื่อ 2000 เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
แต่สุดยอดของความมหัศจรรย์มันอยู่ตรงนี้ ครับ อาณาจักรมายาที่เจริญรุ่งเรืองมานาน กลับล่มเอาซะดื้อๆเมื่อราวศตวรรษที่สิบ กล่าวคือชาวเมืองทั้งหมดพากันหายไปหมดครับ ไม่ทราบว่าอพยพไปไหนเหมือนกัน ทิ้งไว้แต่สิ่งก่อสร้างที่ยังทำไม่เสร็จและเสาแกะสลักค้างๆคาๆไว้อยู่ทั่ว บริเวณ พวกเค้าอพยพไปไหน? อาณาจักรใหญ่ขนาดนั้นล่มสลายในพริบตาจนเหลือแต่คนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆได้ อย่างไร จนถึงทุกวันนี้นักวิชาการก็ยังขบไม่แตกเลยครับ ว่าสาเหตุนั้นมาจากไหนกันแน่
นักโบราณคดีสันนิษฐานกันไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าเกิดการปฏิวัติของชาวนา เพราะทนการกดขี่ของชนชั้นปกครองไม่ไหว บ้างก็ว่าเกิดจากโรคระบาด บ้างก็ว่าเพราะโดนรุกรานจากคนต่างเผ่า แต่ละข้อแต่ละคนร่ายรายละเอียดมาเป็นปึกๆ คงเล่าตรงนี้ไม่หมดแน่ สรุปก็คือแต่ละข้อสันนิษฐานนั้นไม่มีอันไหนเข้าเค้าเลยครับ หลักฐานสนับสนุนแทบไม่มีเลย
ภาพจากสารคดีจำลองชีวิตชาวพื้นเมืองในอดีต
ตาอีริค ฟอน ดานิเก้น ผู้เชื่อทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า ในเมื่อชาวมายาสืบเชื้อสายและเรียนศิลปวิทยาการมาจากพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น จะเป็นไปได้ไหมว่า พระเจ้าของชาวมายา ก็คือมนุษย์ต่างดาวจากดาวดวงอื่น ที่ลงพื้นโลกมาชั่วคราวเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง พอเสร็จงานแล้วก็เสด็จจากไป
เป็นข้อสันนิษฐาณที่น่าคิดเหมือนกัน ชาวมายารู้จักดาวศุกร์เป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถคำนวณล่วงรู้ถึงระยะของวงโคจร ของดาวศุกร์ได้ อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยปราศจากกล้องดูดาวหรือเทคนิคอื่นใด คนโบราณอย่างชาวมายาจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญการเกี่ยวกับดาวดวงนี้มาบอกเอง
ปฏิทินของชาวมายาเล่าครับ เค้าคำนวณวันเดือนปีย้อนหลังไปเป็นล้านๆปีอย่างแม่นยำน่าทึ่ง ไหนจะการสร้างปิระมิดอีกล่ะ ชาวมายาเป็นแค่ชนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆนะครับ ไม่ใช่มหาอำนาจอย่างอียิปต์ เค้าไม่มีทางเกณฑ์ไพร่พลมากมายมาสร้างสิ่งมหึมาขนาดนั้นได้ หินแต่ละก้อนหนักเป็นสิบๆตัน เค้าเอาอะไรมาตัด มาสะกัดให้เป็นสี่เหลี่ยมผิวเรียบแล้ววางซ้อนกันได้แบบนี้ แปลนของปิระมิดก็ถูกออกแบบไว้อย่างดี ชนิดที่ว่าสถาปนิกกับวิศวกรรสมัยนี้ จะสร้างตามโดยอาศัยเครื่องมือแบบที่คนพื้นเมืองใช้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย เลยแม้แต่นิดเดียว หากชาวมายามีครูลงมาสอนศิลปวิทยาการจริง ครูของพวกเค้าจะต้องมีความรู้กว้างขวาง และมาจากดินแดนที่เจริญพร้อมด้านวิทยาการอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า บริเวณศักดิ์สิทธิกลางอาณาจักรนับเป็นที่ตั้งของ ปิระมิด วิหาร เทวาลัย ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับพระเจ้าโดยเฉพาะทั้งสิ้น ส่วนชาวพื้นเมืองจะอยู่ในบริเวณรอบนอกออกไป …เป็นไปได้หรือไม่ว่า บริเวณที่กล่าวถึงเป็นเขตหวงห้าม เพราะพระเจ้าที่อาจเสด็จมาจากดาวดวงอื่นนั้น จำกัดบริเวณนั้นไว้กระทำกิจบางอย่าง โดยยอมให้ชาวพื้นเมืองประมาณหยิบมือเช่นพวกพระมาเป็นลูกมือช่วยงาน ต่อมาเมื่อพระเจ้าทำงานเสร็จและจะกลับสู่ที่ๆพระเจ้ามา พระเจ้าของชาวมายาก็อาจจะหอบชาวมายาเหล่านี้กลับไปด้วย หรือไม่ก็ทำให้ชาวมายาหายไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อให้ความลับยังเป็นความลับต่อไป คนที่รักษาความลับได้ดีที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นคนตายหรอกครับ
ข้อน่าสังเกตอีกอย่างเกี่ยวกับอาณาจักรมายา ก็คือว่า เมืองใหญ่ของพวกเขา เช่น ติกัล ตั้งอยู่ในป่าลึก ห่างไกลจากอ่าวฮอนดรัสถึง 109 ไมล์ อ่าวแคมปัช 162 ไมล์ และห่างจากมหาสมุทรแปซิฟิกตั้ง 240 ไมล์ มันผิดวิสัยการตั้งรกรากของชุมชนมนุษย์นะครับ เพราะคนโบราณมักตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แหล่งน้ำเป็นหลัก อารยธรรมของเราก็มาจากลุ่มน้ำใหญ่ทั้งนั้น (คงนึกออก ถ้าท่านไม่พากันตกประวัติศาสตร์) แต่ชาวมายากลับต่างออกไป พวกเขาดันไปตั้งบ้านเมืองในป่าลึก ทำอ่างเก็บน้ำขนาดมหึมาตั้งสิบสองสิบสามแห่ง แค่นี้ก็ลำบากพอแล้ว พวกเขายังหาเหาใส่หัวอีก โดยการทำทางระบายน้ำเข้าสู่ตัวเมือง ทำไมชาวมายาที่ว่ากันว่าฉลาดๆจึงหาเรื่องยุ่งใส่ตัวให้วุ่นวายขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ทุกอย่างที่พวกเขาทำ เป็นประกาศิตของ"พระเจ้า"
หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ โอย…จะบ้าตาย
เรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจมาก และมิใช่แต่ดินแดนมายาเท่านั้น หากแต่พวกอินคาในอเมริกาใต้ ชาวเมโสโปเตเมีย หรือแม้กระทั่งชาวียิปต์โบราณ ก็มีหลักฐานว่ามนุษย์ต่างดาวเคยลงมาเยี่ยมเยียนพวกเขาแล้วทั้งนั้นเมื่อหลาย พันปีก่อน แล้วท่านล่ะครับ คิดอย่างไร?
พญางูบินของชาวมายา