สัมภาษณ์พิเศษ นัททิว(NATTHEW) กับก้าวใหม่ครั้งสำคัญสู่วงการเพลงเกาหลี (1)

 

เป็นอีกหนึ่งหนุ่มสัญชาติไทยที่กำลังก้าวสู่วงการเพลง K-POP สำหรับ นัททิว หรือ ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม แชมป์จากเวที Academy Fantasia season5(AF5) ที่หลังจากมีผลงานทั้งงานเพลง และงานละครที่เมืองไทย กวาดแฟนคลับไทยแลนด์ไปเพียบแล้ว ล่าสุดต้นสังกัด True Fantasia จับมือร่วมงานกับเจ้าของอุตสาหกรรมบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ CJ Entertainment (CJ E&M) ผลักดันให้หนุ่มนัททิวก้าวสู่การเป็นศิลปินเกาหลีสัญชาติไทยอย่างเต็มตัว ในนาม NATTHEW ด้วยผลงานซิงเกิ้ลแรก She’s Bad ซึ่งเปิดตัวไปแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตามองและแรงเอาใจช่วยทั้งจากต้นสังกัด ครอบครัว พี่น้องผองเพื่อน สื่อมวลชน รวมทั้งแฟนคลับที่ร่วมสนับสนุนอีกก้าวของนักร้องหนุ่มคนนี้อย่างอบอุ่น

 

 

หลังจากเคลียร์คิวงานที่เกาหลีเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ฤกษ์ที่แฟนคลับชาวไทยจะได้กลับมาใกล้ชิดกับหนุ่มนัททิวอีกครั้ง เมื่อนักร้องหนุ่มบินกลับมาเพื่อเปิดตัวซิงเกิ้ล She’s Bad ที่เมืองไทย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถามความเป็นมา-เป็นไปเกี่ยวกับการ ‘โกโคเรีย’ ครั้งนี้อย่างเต็มที่… music.MThai.com เองก็ได้สัมภาษณ์กับหนุ่ม นัททิว อย่างเต็มอิ่ม และได้รู้ว่า แม้โอกาสการก้าวสู่วงการเพลงเกาหลีของเขาจะเหมือนเป็นโอกาสที่ฟ้ามอบให้ แต่ก้าวใหม่ของ NATTHEW ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย

 

 

เส้นทางการ ‘โกโคเรีย’ ของ NATTHEW
“เมื่อสองปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปถ่ายรายการ Let’s Go Dream Team ของช่อง KBS World ครับ ซึ่งทางรายการก็ได้ทำการสำรวจแล้วพบว่าหลังจากเทปรายการได้ออนแอร์ออกไปคนดูเขาสนใจนัททิวนะ ทำให้ทางบริษัททรูแฟนตาเซียอยากจะผลักดันเราไปในทิศทางนั้นน่ะครับ ทางค่ายเลยส่งให้ผมได้เรียนภาษาเกาหลีและเรียนเต้นเพิ่มเติม เหมือนการเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผมไว้ก่อนเผื่อว่าในอนาคตจะได้ทำงานเกี่ยวกับทางนี้ แล้วพอดีอนาคตนั้นก็เกิดขึ้นจริงเมื่อทางทรูฯ ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับ CJ E&M ซึ่งเค้าเป็นบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์ พอมารวมกับค่ายเราที่มีศิลปิน ผมก็เลยมีโอกาสได้ไปแคสติ้ง ไปร้อง ไปเต้น ไปสัมภาษณ์ สุดท้ายเค้าเลือกเรา ทำให้มีโอกาสทำซิงเกิ้ล She’s Bad ”

 

 

ความแตกต่างระหว่างวงการบันเทิงไทยและเกาหลี
“กระบวนการทำงานคล้ายกันนะครับ มีซ้อมร้อง ซ้อมเต้น อัดเสียง ถ่ายเอ็มวี เข้าออฟฟิศ ให้สัมภาษณ์สื่อ เหมือนกันเลยนะ แต่จะแตกต่างตรงทีมงานเกาหลีจะเข้มงวดกว่า คือคนไทยเราจะมีนิสัยยิ้มแย้ม เอ็นจอย เฟรนด์ลี่ ซึ่งทีมงานเกาหลีเค้าชอบตรงนี้ของคนไทยมากเลยนะ พวกเขาบอกเลยว่าพอได้ทำงานกับผม ทำงานกับนิชคุณ หรือทำงานกับคนไทยคนไหนก็ตามเค้าชอบนิสัยแบบนี้จังเลย แต่บางโมเม้นต์มันก็ใช้นิสัยนี้ไม่ได้น่ะครับ อย่างเวลาซ้อมร้อง ซ้อมเต้น บางทีครูก็จะหน้าดุมาก เครียดและจริงจังมาก ถ้าเราไปยิ้มใส่ พวกเขาก็จะเข้าใจว่าเราเนี่ยไม่ตั้งใจ เลยเป็นวัฒนธรรมที่ผมต้องปรับตัว ผมเองก็เคยเล่าให้ทีมงานเกาหลีฟังว่า เวลาค่ายเราทำงานจะสนุก หัวเราะ เอ็นจอยกับการทำงานกันอยู่ตลอด ถ้าคนไทยทำหน้าบึ้งเวลาทำงานเค้าจะเรียกว่า ‘ชักสีหน้า’ นะ ทีมงานเกาหลีก็ตอบว่าที่นี่ทำแบบนี้ไม่ได้เลย… เอ่อ หรืออาจจะเป็นเพราะค่ายเพลงผมตลกกันเป็นพิเศษมั้งฮะ(หัวเราะยาว) อย่างตอนผมเข้าบริษัท CJ E&M ที่นั่นเค้าก็จะอยู่หน้าคอม.กัน ตั้งใจทำงานกันมาก แต่พอผมพาครูสอนเต้นผมไปแนะนำให้พี่ๆ ที่ทรูฯ รู้จักปรากฏว่ากรี๊ดกร๊าดกันลั่นออฟฟิศเลยครับ(หัวเราะ) คนเกาหลีเค้าก็บอกว่าเนี่ยเค้าชอบบรรยากาศการทำงานยังงี้จังเลยนะ… ผมเองก็ต้องปรับตัวและปรับวัฒนธรรมในการทำงานให้เข้ากับการทำงานแบบเกาหลี ฝั่งสต๊าฟเกาหลีเองก็ปรับตัวเหมือนกัน เค้าจะรีแล็กซ์ยิ้มแย้มเวลาทำงานกับเราเพราะไม่อยากให้เราเครียดน่ะฮะ”

เพราะความแตกต่าง ทำให้กดดัน เครียด จนร้องไห้
“หูยยย… บ่อยครับ ยิ่งช่วงแรกนี่บ่อยมากที่เรานอนร้องไห้ในห้องนอนที่อพาร์ทเม้นต์ ร้องไห้ต่อครูสอนร้องเพลงก็เคย ร้องไห้ต่อครูสอนเต้นก็เคย ส่วนใหญ่เป็นเพราะสไตล์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนี่แหละซึ่งเราหาไม่เจอว่าจุดที่พอดีมันอยู่ตรงไหน ยกตัวอย่างตอนถ่ายมิวสิควิดีโอ She’s Bad นั่นก็ทำให้เราเครียดเพราะรู้สึกกดดันในสไตล์การถ่ายมิวสิควิดีโอที่เค้าไม่เหมือนที่ไทย อย่างเวลากล้องจับภาพถ้าเป็นที่ไทยเราจะไม่มองเข้าไปในกล้องน่ะครับ แต่พอมาเป็นที่เกาหลีถ้าเห็นกล้องไหนขึ้นไฟสีแดงเราต้องมองเข้าไป บวกกับความเข้าใจไปเองของผมที่คิดว่าเกาหลีเค้าน่าชอบอะไรที่โอเว่อร์แอ็คติ้ง เพราะผมเห็นเอ็มวีของเค้าจะแอ็คติ้งเยอะๆ พอถึงเวลาเอ็มวีของตัวเองผมเลยทำๆๆ ใส่ใหญ่ เสร็จปุ๊บ ผู้กำกับเครียดเลย เรียกไปคุยบอกว่า ‘นัททิวยูเยอะไป’ ผมก็ อืม ลดได้ๆ แต่ทำไมเหรอ เค้าก็ตอบกลับมาว่า ‘คนเกาหลีไม่ชอบเยอะ ชอบธรรมชาติ’ ผมก็ ‘เห้อ~ จริงเหรอครับ!?!’ ที่ผ่านมาผมคิดว่าเค้าชอบเยอะๆ มาโดยตลอดเลยนะ… คือ ลดน่ะลดได้ครับ แต่ตอนเราต้องหาจุดที่พอดีมันอยู่ตรงไหน เราจะลดแล้วมันน้อยไปหรือเปล่า ตอนนั้นน่ะเครียดเลยครับ แต่พอหาจุดนั้นก็สบายใจแล้ว”

 

 

กำลังใจที่ช่วยฉุดให้ NATTHEW ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
“การอ่านทวิตเตอร์จากแฟนๆ ทำให้ผมได้กำลังใจเยอะมาก หรือไม่ก็คุยกับเพื่อนๆ หรือพี่น้องที่เรามี LINE ก็จะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นครับ โชคดีมากที่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกท้อมาก แต่ก็ได้กำลังใจจากพี่ผู้กำกับกับเจ้าของดรีมบ็อกซ์ ซึ่งเป็นละครเวทีที่ผมเคยเล่น ส่งคลิบมาให้บอกว่า ‘นัททิวสู้ๆ คนไทยทำได้ๆ’ พอได้ยินคำว่า ‘คนไทยทำได้’ แล้วมันรู้สึกฮึกเหิมนะ แบบ ฮึ้ย! เราต้องทำได้สิน่า!!”

 

เรียนรู้ภาษาเกาหลี
“ตอนนี้ผมก็ยังคงต้องเรียนเพิ่มเติมอยู่ครับ แต่ช่วงที่อยู่เกาหลีส่วนใหญ่ก็จะสื่อสารด้วยการใช้ภาษาอังกฤษ หรือประโยคภาษาเกาหลีที่ควรจะเอาไว้พูดกับกล้องก็ต้องเรียนรู้ไว้ครับ อย่าง การทักทาย สวัสดี ฝากเพลง หรือขอบคุณ ก็ต้องฝึกพูดไว้ให้ติดปาก แต่ถ้าพูดมาเป็นประโยคผมยังฟังไม่ค่อยออกแต่จะจับใจความได้เป็นคำๆ แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมต่างๆ เราฟังคนคุยเป็นภาษาเกาหลีบ่อยๆ ฟังเพลงเกาหลีบ่อยๆ ทำให้เราเลียนเบบสำเนียงได้เร็วกว่าปกตินิดนึง แต่ก็ยังไม่ถึงกับปร๋อนะครับ”

 

การทำงานกับสื่อมวลชนเกาหลีและสื่อมวลชนต่างชาติ
“ทีมงานที่นู่นจะบอกผมเสมอว่า เวลามีสื่อเกาหลีมาสัมภาษณ์เนี่ยยูไม่ต้องกังวลนะ ยูเป็นแบบนี้นี่แหละเค้าชอบกันทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทีมงานเล่าให้ฟังว่ามีสื่อหนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับนึงมาขอสัมภาษณ์ผมซ้ำอีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากเพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ กับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ซึ่งเราได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ หรืออย่างตอนผมไป MAMA ที่ฮ่องกง ผมจะต้องเจอสื่อมวลชนหลายชาติมาก เราเองก็เพิ่งไปเปิดตัวที่นั่นเขาก็ยังไม่ค่อยรู้จักเรา แล้วพอพิธีกรบอกว่าผมคือนักร้องจากเมืองไทยมีใครอยากจะสัมภาษณ์บ้าง ก็มีพี่จากสื่อเกาหลีสื่อหนึ่งยกมือถามเป็นคนแรก ซึ่งคำถามที่ถามเป็นคำถามที่เขาเคยถามในการนัดสัมภาษณ์ผมมาก่อนแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยากถามผมหรอก แต่เขาอยากช่วยเรา อยากช่วยเปิดให้ ซึ่งหลังจากเขาถามคำถามแรกก็มีคำถามจากสื่ออื่นๆ ตามมา พอผมได้เจอพี่เขาอีกครั้งที่สนามบินผมก็มีโอกาสได้ขอบคุณเขาครับ”

 

 

ตารางงานที่เกาหลีที่รัดตัว จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
“เวลาพักผ่อนก็พอมีบ้างนะครับ แต่เป็นการพักผ่อนที่มาจากความบังเอิญนะ คือปกติตารางซ้อมของผมจะแน่นมากครับ มีทุกวัน ต่อให้ครูที่จะมาสอนให้ไม่ว่างเค้าก็จะจองห้องไว้ คือคุณต้องไปซ้อมเอง(หัวเราะ) แต่ก็จะมีบางวันที่ทีมงานจะโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ว่างนะ เออ เราก็โชคดี ได้ไปพักผ่อน เดินเที่ยว เดินเล่นในที่ที่อยากไป แล้วก็ไปร้านอาหารครับ ชิมนู่นนี่ เสร็จแล้วก็กลับบ้านนอนครับ นอนเผื่อไว้เยอะๆ เพราะถ้าวันที่มีซ้อมจะไม่ค่อยได้นอนน่ะครับ”

 

ขึ้นเวทีเพียงครั้งเดียว แต่มีแฟนคลับจำได้
“คือถ้าเดินถนนด้วยสภาพปกติเนี่ยยังไม่ค่อยมีคนจำได้ครับ(หัวเราะ) แต่ก็จะมีตอนที่ผมไปดูคอนเสิร์ต 2AM เราก็แต่งตัวค่อนข้างดี มันคงจะเตะตาบ้าง(หัวเราะ) ก็จะมีคนญี่ปุ่นมาทัก เรียก ‘นัททิวโอป้า’(พี่ชาย) เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย ทีมงานก็งงว่าเป็นเพื่อนผมเหรอเพราะเค้าเองไม่คิดว่าผมขึ้นเวที M! Countdown ครั้งเดียวจะมีคนจำได้”

 

 

นัททิวโอป้า…
“อืม ฟังแรกๆ ก็รู้สึกแปลกครับ คือ เคยได้ยินแต่แฟนคลับเรียกคนอื่น แล้วพอมาเป็นเราก็… ‘เอ๊ะ มันจะดีเหรอวะ’(หัวเราะ) แต่ก็มีแฟนคลับเรียก ‘โอป้า’ ครับ ถึงแม้เค้าจะอายุมากกว่าผมก็ตาม(หัวเราะ) คือ แฟนคลับที่ไทยของผมก็จะอายุประมาณหนึ่งอะนะ เมื่อก่อนก็จะเรียกผม ลูกนัท หลานนัท อะไรก็ว่าไป แต่ตอนนี้กลายเป็นเรียกว่า ‘โอป้า’ กันแล้ว ก็น่ารักดีครับ”

 

 

(รอติดตามบทสัมภาษณ์ตอนที่สอง เกี่ยวกับเบื้องหลังการทำงานซิงเกิ้ล She’s Bad, ซิงเกิ้ลที่สองที่ทำให้เขาต้องเสียน้ำตาในห้องอัดเสียง รวมทั้งต้นกำเนิดของชื่อกลุ่มแฟนคลับที่ นัททิว ตั้งขึ้นด้วยตัวเอง… เร็วๆ นี้)

 

 

Credit: http://music.mthai.com
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...