การทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ของกองทัพญี่ปุ่น

เป็นเรื่องเก่าที่นำมาเล่าใหม่อีกครั้ง ถือว่าข้อมูลในครั้งนี้ตีแผ่เรื่องได้โหดขึ้นและเพิ่มขึ้นไปจากเดิม

จากเวบ atcloud.com เรื่องสงครามโลกครั้งที่2 ในชื่อเสียงอันล่ำลือของความโหดร้ายของทหาร

ญี่ปุ่นจนขนานนามว่า Rape of Nanking บทความต่อจากนี้ขออนุญาต ตัดออกเพื่อความกระชับ

ส่วนใครอยากอ่านเวอร์ชั่นเต็มก็คลิกเข้าไปดูได้นะครับ

>>>Rape of Nanking<<<

ความช็อกโลกที่ถูกตีแผ่ออกมาจากหนังสือชื่อ "Annihilation Zones: Far East Atrocities of the 20th Century" (เขตการทำลายล้าง - ความโหดร้ายแห่งย่านตะวันออกไกลในช่วงศตวรรษที่20) ซึ่งเรียบเรียงโดย Stephen Barber นั้นคือตัวอย่างความวิบัติระดับมหากรรมยิ่งใหญ่ของโลก ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงก่อนและระหว่างมหาสงครามโลกครั้ง ที่สอง ชนิดที่ใครได้รับรู้เป็นต้องเสียวสันหลังวาบ

เริ่มตั้งแต่ ปี ค.ศ.1931 นั้นกองทัพลูกพระอาทิตย์ได้กรีฑาทัพขึ้นไปยังแมนจูเรียซึ่งอยู่ทางตะวันออก เฉียงเหนือของจีน และที่แมนจูเรียนี้เองที่กองทัพโหดได้จัดตั้ง "ยูนิท 731" ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยกำจัดชาติพันธุ์มนุษย์(ชาวจีน)ที่ยิ่งใหญ่มาก รวมทั้งยังมีความโหดมากที่สุดในโลกอีกด้วยชาวจีนนับหมื่นนับแสนที่ถูกจับเป็นเชลยและถูกนำตัวมาไว้ที่หน่วยนี้ จะต้องทนทุกข์สาหัสจากการถูกกองทัพญี่ปุ่นใช้ชีวิตพวกเขาเป็นหนูตะเภา ทดลองการฉีดหรือฝังเชื้อโรคร้ายแรงต่าง ๆ ที่คิดค้นขึ้นมาได้ใหม่ ๆ กันจนถึงแก่ความตายอย่างทารุณ

ว่ากันว่าแม้แต่เชื้อกามโรครุนแรงอย่างซิฟิลิส ยังถูกฉีดเข้าใส่เด็กทารกชาวจีนที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ด้วยซ้ำ และระหว่างที่เด็กกำลังดิ้นทุรนทุรายรอความตายนั้น กองทัพญี่ปุ่นจะหัวเราะอย่างสนุกสนานในผลร้ายนั้นพร้อมกับทำบันทึกอย่างต่อ เนื่อง... มันเป็นตัวอย่างความตายที่ถูกเฝ้ามองแบบไร้มนุษย์ธรรมที่สุด

แต่ตัวอย่างของห้องทดลองแห่งความตายที่หน่วย 731 นั้นกลายเป็นเรื่องจริงที่โหดน้อยลงไปทันทีเมื่อนำไปเทียบเคียงกับชีวิตของ ชาวจีนอีกหลายล้านคน ที่แม้ไม่ถูกจับเข้าไปทดลองในหน่วยประหลาดแต่ ก็ได้รับผลกรรมจากการกรีฑาทัพของญี่ปุ่นชนิดเฉียบพลันทันที เบื้องหลังการบุกเข้าสู่ดินแดนต่าง ๆ ในเอเชียของกองทัพลูกพระอาทิตย์นั้นมีหลักใหญ่ ๆ ที่ถูกพ่วงเข้ากับการรบก็คือ หนึ่ง... ต้องทำการข่มขืนผู้คนในดินแดนที่บุกเข้าไปให้มากที่สุด และ สอง... ต้องสังหารชีวิตต่าง ๆ ในแผ่นดินที่บุกตามไปด้วย

 

ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มตำรวจลับแห่งกองทัพญี่ปุ่นที่มีชื่อเรียกว่า "เคมไพเท" (Kempeitai) จะพากัน "หาเหตุ" สังหารชนชาวพื้นเมืองในประเทศที่ถูกบุก จนนึกไม่ถึงว่าจะมีใครอีกแล้วในโลกนี้ที่หาเรื่องในการสังหารกันได้มากเท่า กับพวกเคมไพเทเหล่านั้น ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับความพอใจของเคมไพเทและกองทัพญี่ปุ่นร่วมกันบางคราว แม้แต่ทหารระดับพลทหารญี่ปุ่นก็สามารถหาความสำราญจากการคิดฆ่าพลเมืองเจ้า ของประเทศ ที่พวกตนบุกเข้าไปด้วย

14 ธันวาคม ค.ศ. 1937 กองทัพญี่ปุ่นได้บุกเข้าไปในเมืองนานกิง ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง และอยู่ห่างออกไปทางตอนใต้ของแมนจูเรีย ก่อนหน้าที่กองทัพนรกนี้จะบุกเข้าไปถึง กลุ่มชาวเมืองนานกิงที่ได้ยินกิตติศัพท์ความโหดมาบ้างแล้ว ได้พากันหนีตายออกไปจากเมืองอันเป็นที่รักของตนราวครึ่งหนึ่งแล้ว หากแต่ปริมาณชาวนานกิงที่เหลืออยู่ในเมืองก็ยังมากมายพอ ที่จะให้กองทัพญี่ปุ่นและเคมไพเทสังหารกันอย่างมันมือจนตายเกลื่อนไปทั่วทุก ท้องถนนในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแทงให้ตายด้วยดาบปลายปืนเพื่อเป็นการประหยัดกระสุน หรือการใช้ดาบซามูไรตัดหัวผู้คนจนเสียงร้องขอชีวิตระงมไปทั่วเมืองก็ตามที การประหัตประหารกันแบกลางแจ้งนั้นหาได้หยุดยั้งลงไปง่าย ๆ ไม่

เหตุการณ์แห่งการสังหารยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ พอถึงเดือนมกราคม 1938 เมืองนานกิงก็กลายเป็นเมืองแห่งความตายไปโดยดุษฏี เวลานั้นท้องถนนทุกสายในนานกิงท่วมไปด้วยศพและเลือดของผู้คนในเมือง และเมื่อมองออกไปที่แม่น้ำลำคลอง ก็พบว่าทุกสายน้ำต่างก็เต็มไปด้วยศพคนนานกิงเกลื่อนไปหมด แม่น้ำแยงซีเกียงนั้นถูกแทนที่ด้วยศพชาวนานกิงในปริมาณมหาศาล กล่าวกันว่าศพที่ถูกทิ้งท่วมแม่น้ำนั้นกลายเป็น "ถนนศพสายใหม่" ที่ทำให้กองทัพโหดของญี่ปุ่นสามารถเหยียบย่ำศพเหล่านั้น เพื่อข้ามแม่น้ำจากฝากหนึ่งไปสู่อีกฝากหนึ่งได้อย่างสบายมาก

นอกจากนั้น มีการวิเคราะห์ออกมาว่า จำนวนผู้คนนานกิงที่ถูก "ตัดหัว" ออกไปจากร่างเพื่อรองรับอารมณ์โหดซาดิสม์ของกองทัพญี่ปุ่นนั้นมีตัวเลขสูงถึง 250,000 ศพ

 

ไม่เพียงแต่ชาวจีนเท่านั้นที่กลายเป็นเหยื่อโหดของกองทัพลูกพระอาทิตย์ แม้แต่เชลยสงครามที่เป็นชาวตะวันตกที่ถูกกองทัพบุกเข้าโจมตีขณะปฏิบัติการ อยู่ในประเทศที่ถูกบุกนั้น ก็กลายเป็นเหยื่อแสนโหดด้วย โดยเฉพาะที่สิงคโปร์นั้น ปรากฏว่ามีทหารและพลเรือนชาวอังกฤษตลอดจนยุโรปชาติอื่น ๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องถูกนำตัวมาทรมานทรกรรมเพื่อความสนุกสนานของกองทัพ ญี่ปุ่่น

การทรมานที่ขึ้นชื่อที่สุดในหมู่ทหารญี่ปุ่นก็คือการทรมานที่มีชื่อว่า "เกมอัณฑะระเบิด" ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เกม หากแต่เป็นการ "สังหาร" ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมาได้ นั่นก็คือชาวตะวันตกที่ถูกจับตัวมาได้นั้น จะถูกจับแก้ผ้า แล้วนำไปขึงไว้กลางแสงแดดจ้า มือทั้งสองข้างของเขาจะถูกตอกตรึงติดกับพื้นด้วยตะปูขนาดใหญ่จนขยับไม่ได้ ส่วนขาทั้งสองข้างก็จะถูกตรึงไว้ที่พื้นด้วยเช่นกัน

และที่น่าทุเรศก็คือ เชลยกลางแจ้งนั้นจะถูกดึงหนังอัณฑะให้แผ่ตึง พร้อมกันนั้นพวกญี่ปุ่นก็จะใช้ไม้ไผ่ชุบน้ำมาทำการ "ขึง" หนังอัณฑะนั้นให้แผ่ตึงที่สุดเท่าที่จะทำได้...เมื่ออยู่กลางแสงแดด ตลอดจนไม้ไผ่ชุบน้ำที่ถูกแดดเผาจนความชื้นหดหายไป ย่อมทำให้ไม่ไผ่นั้นเกิดอาการตึงตัว รวมทั้งอุณหภูมิที่สะสมความร้อนจนเดือดพล่านภายในอัณฑะ ที่ถูกแผ่ตึงจนน้ำหล่อเลี้ยงภายในเดือดสุกกลางแดด สิ่งเหล่านั้นรวมตัวก่อให้เกิดอาการตึงและ "ระเบิด" ขึ้นภายในถุงอัณฑะ

การระเบิดประหลายนั้นทำให้ลูกอัณฑะทั้งสองข้างระเบิดฉีกผนังอัณฑะออกมาใน อากาศ พร้อมกับกระเด็นหวือลอยขึ้นสูง และทำให้เชลยชายรายนั้นเจ็บปวดทรมานจนถึงแก่ความตายได้ในเวลาต่อมาเรื่องตลกที่แสนเศร้าก็คือ... ระหว่างรอเวลาให้อัณฑะจะระเบิดนั้นพวกทหารญี่ปุ่นจะพากันวางเดิมพันกันว่า ลูกอัณฑะข้างไหนจะระเบิดก่อนกัน และถ้าระเบิดแล้วมันจะพุ่งไปทางไหนอีกด้วย

 

เรื่องจริงน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในบอร์เนียวและกลายเป็นบันทึกอัปยศก็คือเชลย ศึกชายที่ถูกจับมาได้นั้น จะถูกจับแก้ผ้าแล้วเรียงตัวเข้าแถวกัน...จากนั้น... กองทัพวิปลาสของญี่ปุ่นก็จะออกคำสั่งให้เชลยศึกชายพวกนั้นยืนต่อแถวแล้ว "เสพเวจมรรค (การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ศัพท์บาลีสันสกฤตจะเรียกว่า เวจมรรค)" กันอย่างต่อเนื่องจนดูคล้าย "โซ่มนุษย์"ถ้าใครไม่ทำตามก็จะถูกดึงตัวออกจากแถวแล้วสังหารด้วยการตัดหัวเสียตรงนั้น ... เมื่อช่วงแถวว่างลงพวกญี่ปุ่นก็จะบังคับให้คนที่อยู่ลำดับถัดไปทำการ "สวมรอยผู้ตาย" ทันที และแม้ว่า "โซ่มนุษย์เวจมรรค" นี้จะดำเนินการไปได้ก็ตามที ถ้าจู่ ๆ เกิดมีการ "หลุด" จากโซ่มรณะนี้เมื่อไหร่ ผู้ที่หลุดออกมานั้นจะต้องถูกตัดหัวข้างแถวโซ่เวจมรรคนั้นทันทีว่ากันว่าร่างที่หัวขาด และเลือดที่พุ่งสูงดุจน้ำพุแรงที่กลิ้งโค่โล่ไปตามกองขี้ดินขี้โคลนข้างแถว โซ่เวจมรรคนั้น คือภาพความโหดร้ายที่สุดในโลก บางรายตายไปทั้ง ๆ ที่เลือดก็พุ่งออกจากลำคอปราศจากศีรษะ ในขณะที่อวัยวะเพศก็มีน้ำกามพุ่งทะลักออกมาไม่หยุดนานนับเป็นนาที ๆ

กล่าวกันว่าความเลวร้ายของกองทัพญี่ปุ่นที่นอกจากจะยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียแล้ว ก็ยังฆ่า ข่มขืน และทรมานผู้คนอย่างสุดแสนเลวร้ายตามไปด้วยแทบจะทุกหนแห่ง ที่เงาแห่งธงศึกพระอาทิตย์สีแดงบนพื้นขาวตะลุยไปถึง

 

มาถึงบรรทัดนี้คงต้องกล่าวว่า ประเทศไทยนั้นโชคดีเหลือหลาย...แม้ว่าจะโดนกองทัพญี่ปุ่นยาตราทัพ "ผ่าน" ประเทศ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่โสมมแบบที่ทำกับประเทศจีน สิงคโปร์ เกาหลี หรือบอร์เนียว คำว่า "มหามิตร" คำเดียวแท้ ๆ ที่ทำให้ญี่ปุ่นเห็นไทยเราเป็นมิตรบ้าง...โดยที่หารู้ไม่ว่า กลุ่มเสรีไทย-ใต้ดินของเรานั้นหันไปจับมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างลับ ๆ


แม้ญี่ปุ่นจะเล่นงานใครต่อใครได้ แต่ญี่ปุ่นกลับโดนไทย "ซ้อนแผน" อย่างแยบยล

 

Credit : จาก maiman(atcloud)/หนังสือ รวมเรื่องโหดเหลือเชื่อ โดย วรสิริ

 

ญึ่ปุ่นคงได้รับบทเรียนจากสงครามครั้งนี้ ในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม ผันตัวเองจากมหาอำนาจด้านสงคราม มาเป็นด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ(ที่กำลังซบเซา) กลายเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พัฒนาประเทศ ผิดกับบางประเทศที่เคยพัฒนาขึ้นอย่างช้า แต่กลับถอยหลังลงคลองทั้งๆที่พื้นฐานในประเทศ ขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนาที่ดีกว่า เพียงเพราะความต้องการในการรักษาหน้าตาของตัวเอง รักษาผลประโยชน์ของพวกพ้องด้วยการทำสงครามประสาทในประเทศ แล้วยังใช้สิทธิ์ที่อ้างเพื่อประเทศชาติ ความวิบัติที่พัฒนาประเทศชาติให้ดิ่งลงเหว

 

 

Credit: maiman(atcloud)/หนังสือ รวมเรื่องโหดเหลือเชื่อ โดย วรสิริ
15 ก.พ. 53 เวลา 11:27 18,732 76 500
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...