เคยมีใครแอบคิดสงสัยกันเล่นๆบ้างไหมครับว่าโลกของเราใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และโลกเราเป็นดาวหนึ่งเดียวในจักรวาลเท่านั้นหรือที่มีสิ่งมีชีวิต?
ไม่ใช่เพียงแค่เราๆท่านๆแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนเท่านั้นหรอกครับที่สงสัย เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังให้ความสนใจในการหาคำตอบอยู่เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเซิร์น (CERN) ที่เขาจับเอาอนุภาคมาวิ่งวนเป็นวงกลม เร่งจนเข้าใกล้ความเร็วแสงแล้วบังคับให้มันชนกันตูมตามสนั่นหวั่นไหว การทดลองอันแสนเสี่ยงนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบของ “กำเนิดจักรวาล” เช่นกันครับ
ภาพลายเส้นนาซกา "นักบินอวกาศ"
การชนกันของอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในการทดลองของเซิร์นนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาจจะค้นพบอนุภาคกำเนิดจักรวาลก็เป็นได้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนให้คำตอบที่แน่ชัดของกำเนิดแห่งเอกภพได้เลยครับ
แต่ทว่าถ้ามองในอารยธรรมโบราณทั่วโลก ดูเหมือนพวกเขาจะตอบคำถามพวกนี้ได้ก่อนเราเสียแล้ว เพราะคำตอบของพวกเขาก็แสนง่ายและตรงไปตรงมา คนที่สร้างเอกภพและโลกก็คือ “พระเจ้า” ยังไงล่ะ!!
เพราะถ้าลองดูตำนานการสร้างโลกในอารยธรรมโบราณต่างๆทั้งอียิปต์ เมโสโปเตเมีย อเมริกาโบราณ พระคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งชนเผ่าอื่นๆในโลกโบราณแล้วก็จะเห็นว่า ณ จุดเริ่มต้นของการกำเนิดโลกล้วนมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากนั้นพระเจ้าจึงเริ่มรังสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ตามวิถีของแต่ละอารยธรรม แต่ที่แน่ๆทุกชนเผ่ากล่าวถึง “พระเจ้า” ทั้งสิ้น
ภาพสลักคล้ายอากาศยานในวิหารของฟาโรห์เซติที่ 1
ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากศูนย์จริงๆครับ เพราะจุดเริ่มต้นของเอกภพเมื่อ 14,000 ล้านปีที่แล้วก็มีขนาดเล็กเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น แต่เมื่อ “พระเจ้า” ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทำให้เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงขึ้น เอกภพก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อนุภาคมูลฐานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จนสุดท้ายส่วนหนึ่งของมันก็ได้กลายมาเป็นบรรดาดวงดาวและโลกของเราในวันนี้
ถ้าเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า “โลก” ไม่ได้เป็นดาวเพียงแค่ดวงเดียวในเอกภพที่มีสิ่งมีชีวิตอันแสนชาญฉลาดอาศัยอยู่ เพราะดวงดาวทั้งหมดในเอกภพ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นคงจะมีเป็นหลักพันล้านดวงหรือมากกว่านั้น
แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นที่มีวิทยาการก้าวหน้ากว่าเราจะเคยเดินทางมายังโลกของเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เพื่อถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับบรรพบุรุษ!? ครั้งนี้เราจะมาตามหาหลักฐานต่างๆของ “เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์” กันครับ
สถานที่แห่งแรกที่อยากจะพาให้ทุกๆท่านได้ไปรับชมกันก็คือภาพวาดผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี (Kimberly Mountain) ทางตะวันตกของออสเตรเลีย เมื่อลองเพ่งพินิจพิจารณาภาพที่ปรากฏบนผนังถ้ำก็จะพบว่าแทนที่จะเป็นภาพของมนุษย์กำลังล่าสัตว์ หรือภาพสัตว์ป่าทั่วไปดังที่เราคุ้นเคย ชนเผ่าอะบอริจิน (Aborigine) แห่งออสเตรเลียกลุ่มนี้กลับวาดภาพของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดที่มีศีรษะกลมและมีดวงตาสีดำคู่ใหญ่ประดับอยู่ ชวนให้คิดถึง “เกรย์” (Grey) หรือมนุษย์ต่างดาวที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันเคยประสบพบเห็นกันเป็นอย่างมาก นักวิชาการเรียกภาพวาดเหล่านี้ว่า “แวนด์จินา” (Wandjina) ซึ่งชนเผ่าอะบอริจินนับถือเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของก้อนเมฆและฝน ภาพวาดเหล่านี้คาดว่าน่าจะวาดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นปีมาแล้ว
จากนั้นเราข้ามทะเลมายังดินแดนทวีปแอฟริกากันบ้างครับ ในทะเลทรายซาฮาร่า ถ้ำในภูเขาทัสซีลี (Tassili) ทางตอนเหนือของแอฟริกาปรากฏภาพวาดอายุร่วมแปดพันปีของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหมือนมนุษย์แต่มีศีรษะกลมเกลี้ยงคล้ายกับว่าสวมหมวกของชุดอวกาศอยู่ก็ไม่ปาน อีกทั้งเมื่อลองมองไปที่มุมขวาบนของภาพนักบินอวกาศโบราณแห่งแอฟริการ่างนี้แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพของวงรีปริศนาคล้ายจานบินปรากฏอยู่เคียงกัน ซึ่งยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลของภาพวาดปริศนานี้ได้อย่างแน่ชัดเลยสักราย
ภาพปริศนา คล้ายมนุษย์ต่างดาวบนผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี
ชนเผ่าโฮปี (Hopi) ในรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกาก็มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น และเยี่ยมเยียนดาวดวงอื่นๆมามากมายก่อนที่จะสิ้นสุดจุดหมายปลายทางลงที่โลกของเราใบนี้ ภาพสลักมากมายของชนเผ่าโฮปีเป็นภาพที่ดูแล้วยากที่จะอธิบายว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ภาพของมนุษย์ที่ปรากฏก็ดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก
นอกจากตำนานต่างๆที่เล่าไปแล้ว ก็ยังมีภาพของนักบินอวกาศโบราณอีกมากมายที่โชว์ตัวกันบนผนังถ้ำเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดอายุราวหมื่นปีจากประเทศอิตาลี ที่แสดงภาพของมนุษย์ที่เสมือนว่าอยู่ในชุดอวกาศสองคนในท่าทางที่คล้ายกับว่า กำลังล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศนอกโลก และภาพวาดบนผนังถ้ำจากรัฐยูทาห์ (Utah) สหรัฐอเมริกา อายุประมาณ 7,500 ปีที่แสดงภาพของมนุษย์ประหลาด ผิวสีแดงมีดวงตากลมโตผิดปกติ บางคนดูเหมือนสวมหมวก บางคนมีเสาประหลาดโผล่ออกมาจากศีรษะ ประหนึ่งเป็นเครื่องส่งสัญญาณของชุดอวกาศยังไงยังงั้น!!
แน่นอนครับว่าเราไม่มีทางเข้าใจนามธรรมของชนเผ่าโบราณเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถ (และไม่สมควร) สรุปอย่างแน่ชัดว่ารูปที่เห็นนี้จะเป็นมนุษย์ต่างดาวดึกดำบรรพ์ที่มาเยือนชนเผ่าโบราณของเรา เพราะถ้าวิเคราะห์จากภาพวาดผนังถ้ำทั่วไปแล้วก็จะพบว่า คนสมัยโบราณเมื่อกว่าหมื่นปีที่แล้วส่วนใหญ่ไม่ค่อยสลักภาพของมนุษย์ในลักษณะสมจริงถึงขั้น “ภาพเหมือน” เท่าใดนัก ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับลัทธิพิธีกรรมต่างๆที่ประกอบกันในยุคโบราณมากกว่า
รูปวาดบนผนังถ้ำในแอฟริกา คล้ายมนุษย์สวมชุดอวกาศ
แล้วนอกจากภาพวาดผนังถ้ำล่ะ มีหลักฐานอื่นที่พูดถึงเอเลี่ยนดึกดำบรรพ์อีกไหม-ต้องตอบว่ามีเยอะเลยครับ
ตัวอย่างที่น่าจะ ค่อนข้างชัดเจนที่บ่งบอกถึงการมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอารยธรรมโบราณก็คือบรรดาสิ่งประดิษฐ์ผิดยุคผิดสมัยที่ปรากฏในอารยธรรมนั้นๆนั่นเองครับ อียิปต์โบราณ ก็มีภาพสลักหนึ่งแห่งกับสิ่งประดิษฐ์อีกหนึ่งชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าเกินมนุษย์มนาของชาวไอยคุปต์ นั่นก็คือเรื่องของ “ยานบิน” ครับ นักอียิปต์วิทยาค้นพบภาพสลักรูปเฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำและยานอวกาศในวิหารของฟาโรห์ เซติที่ 1 (Sety I) ในนครอไบดอส (Abydos) อีกทั้งยังค้นพบโมเดลเครื่องร่อนในสุสานจากนครซัคคาร่า (Saqqara) แต่นักอียิปต์วิทยาตรวจสอบแล้วว่าภาพสลักเฮลิคอปเตอร์บนผนังวิหารนั้นเป็นเพียงแค่ความบังเอิญของการสลักซ้ำโดยฟาโรห์สองพระองค์เท่านั้น ส่วนเครื่องร่อนจากซัคคาร่าก็ออกแบบมาได้ผิดหลักอากาศพลศาสตร์ ไม่มีเสถียรภาพทางการบิน และคงไม่สามารถบินได้จริงเป็นแน่แท้
ถ้าลองข้ามมาที่ประเทศโคลอมเบียในอเมริกาใต้ ก็ยังคงต้องประหลาด ใจกับเครื่องประดับทำจากทองคำอายุเกือบสองพันปีรูปร่างแปลกตาที่คล้ายคลึงกับเครื่องบินความเร็วสูงสมัยใหม่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน มันออกแบบมาได้ตามหลักอากาศพลศาสตร์มากกว่าโมเดลเครื่องร่อนของชาวไอยคุปต์เสียอีกครับ วิศวกรชาวเยอรมันสามคนได้ทำการจำลองเครื่องประดับโบราณนี้ออกมาเป็นเครื่องร่อนขนาดอัตราส่วน 16 : 1 ซึ่งผลการบินก็ออกมาสวยหรูจนน่าตกใจว่าเครื่องประดับโบราณแห่งโคลอมเบียเหล่านี้ เหตุใดจึงมีเสถียรภาพทางการบินที่ดีเหลือเชื่อ
ภาพวาดจากรัฐยูทาห์ บางภาพดูเหมือนมีเสาส่งสัญญาณบนศีรษะ
อีกหนึ่งหลักฐานที่นักลึกลับศาสตร์จากทั่วโลกใช้อ้างอิงถึงการมีตัวตนและการติดต่อกับพระเจ้าจากอวกาศของชนเผ่าโบราณก็คือบรรดาภาพสลักที่ต้องมองจากฟากฟ้าเท่านั้นจึงจะเห็น พูดง่ายๆว่ามนุษย์เดินดินอย่างเราๆ ถ้ายืนอยู่บนดิน ก็คงเดาไม่ได้แน่ๆว่าลายเส้นพวกนั้นคือรูปของอะไร ดังนั้นจึงมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าคนธรรมดาเดินดินมองไม่เห็นเป็นภาพ แล้วพวกคนโบราณสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร อีกทั้งพวกเขาทำเอาไว้ให้ใครดู ถ้าไม่ใช่ “เอเลี่ยน” จากนอกโลก!?
สถานที่ที่เข้าข่ายจัดทำเอาไว้เพื่อให้ “พระเจ้า” จากนอกโลกได้ดู ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกันครับ ที่ชัดเจนที่สุดคงจะหนีไม่พ้นลายเส้นนาซกา (Nazca Line) ที่เปรู ซึ่งมีมากมายหลายรูปแบบทั้งลายขดก้นหอย สุนัข แมงมุม ลิง ปลาวาฬ แต่คงไม่มีภาพใดในนาซกาที่จะน่าทึ่งไปกว่าภาพ “นักบินอวกาศ” อีกแล้ว!!
ภาพลายเส้นนักบินอวกาศนี้มีความสูงกว่า 30 เมตร เมื่อมองลงมาจากมุมสูงก็จะเห็นเป็นภาพของมนุษย์ศีรษะกลมเกลี้ยง ดวงตาใหญ่ กำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกประหนึ่งกำลังทักทายใครจากนอกโลก
ลายเส้นนาซกา ต้องมองจากบนฟ้าจึงจะเห็นเป็นภาพ
แต่ภาพลายเส้นที่ต้องมองจากบนฟากฟ้าก็ไม่ได้มีเพียงแต่นาซกาที่เดียว ข้ามทวีปจากเปรูมายังอังกฤษกันบ้างก็จะพบว่ามีลายเส้นที่คล้ายคลึงกับนาซกาเช่นกันครับ ภาพที่ว่าได้รับการตั้งชื่ออย่างเสนาะหูว่า “อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์” (Berk-shire White Horse) ซึ่งมีความเก่าแก่ถึงช่วงยุคเหล็กของอังกฤษหรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสต์กาลเลยทีเดียวครับ เนินเขาที่อาชาขาวรูปนี้ปรากฏอยู่เป็นเนินหินชอล์ก ซึ่งวิธีการวาดภาพก็เพียงแค่ถอนต้นหญ้าออกจากบริเวณที่ต้องการสร้างลวดลาย เผยให้เห็นหินชอล์กสีขาวด้านล่าง แต่จุดที่สำคัญก็คือประเพณีการถอนหญ้านี้ต้องสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รูปจำหลักยังคงปรากฏอยู่ต่อไป
คนที่รังสรรค์ลายเส้นนาซกาและอาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์คงจะหนีไม่พ้นชนเผ่าพื้นเมืองในบริเวณนั้นๆ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาสร้างรูปเหล่านี้ขึ้นมาให้ใครดูกัน!? ถ้าภาพต่างๆเหล่านี้ มองเห็นได้จากฟากฟ้าเท่านั้น
อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์ที่มองเห็นได้จากมุมสูงเท่านั้น
ทั้งหมดทั้งมวลที่นำเสนอไป ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนหรือหักล้างทฤษฎีมนุษย์อวกาศโบราณเสียเลยทีเดียวหรอกครับ เพราะยังไม่มีใครทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในสมัยโบราณ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือประเด็นพิศวงต่างๆล้วนเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเสมือนว่ามีใครสักคนมาสอนให้มนุษย์ทั่วโลกทำในสิ่งเดียวกันยังไง
ยังงั้น
ก็ไม่แน่นะครับ ใครจะไปรู้ว่าเอกภพอันยิ่งใหญ่ของเราอาจจะเป็นผลลัพธ์ในการทดลองยิงอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในห้องทดลองของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกลก็เป็นได้.