ปลายปี 1997 เฮนรี่ ฟง ผิง โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชาวฮ่องกง ได้รับการติดต่อให้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงของ เจ้าพ่อมาเก๊า รายหนึ่ง ผลจากการเจรจาครั้งนั้นก็คือ กาสิโน ภาพยนตร์แก๊งสเตอร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ ไจแอนท์ เจ้าพ่อมาเก๊า ที่มี ไซมอน ยัม หรือที่รู้จักกันดีที่เมืองไทยในชื่อ เยิ่น ต๊ะ หัว เป็นผู้สวมบทบาท
ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวยกกองไปถ่ายทำกันในสถานที่จริง ภายใต้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจาก ไจแอนท์ ขนาดขออนุญาตทางการปิดสะพานเข้าออกแห่งเดียวของเมืองเพื่อถ่ายทำไม่ได้ ไจแอนท์ ลงมือปิดหัว-ท้ายสะพาน มาเก๊า-ไถ้ฝา ให้ด้วยตัวเอง
รถราติดหนึบขยับไม่ได้นานร่วมๆ 3 ชั่วโมง ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาข้องแวะหรือสอบถามแม้แต่รายเดียว!
หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าจะเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ ฟิล์มภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกส่งมามาเก๊า ไจแอนท์ เชื้อเชิญสมัครพรรคพวกทั้งหลายมายังห้องสวีตของโรงแรมและกาสิโนลิสบัว ฉายให้ทั้งแก๊งได้ชื่นชม บารมี ของ พี่ใหญ่ กันเต็มๆ ตา
ระหว่างเพลิดเพลินกับเยิ่น ต๊ะ หัว และสงครามข้ามถิ่นบนแผ่นฟิล์ม แขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้น-เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายพร้อมอาวุธครบมือ!
อันโตนิโอ มาร์เควส บัพติสตา ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมตำรวจแห่งมาเก๊า ที่นำกำลังทั้งหมดมาเองไม่ยอมเปลืองคำพูด แจ้งข้อหาและสิทธิแล้วเชิญตัวคนที่เขาต้องการไปยังสำนักงานตำรวจ
นั่นคือจุดจบในชีวิตจริงของ ไจแอนท์ บนแผ่นฟิล์ม หนุ่มใหญ่วัย 43 ปีในเวลานั้น
ชายคนนั้นชื่อ หว่าน กว็อก กุ่ย (หยิ่น กั๋ว จวี ในสำเนียงแมนดาริน)
แต่รู้จักกันทั่วมาเก๊าในชื่อ หลอ กุ่ย หรือ หลอ 14 เค!
13 ปี 10 เดือน ผ่านไป เรื่องราวของ หลอ กุ่ย กลับมาแพร่สะพัดอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว นิตยสารหลายเล่มทั้งในฮ่องกง และมาเก๊า
นำภาพเขาขึ้นปก สื่อมวลชนหลายสิบแห่กันไปรอคอยบริเวณหน้าเรือนจำ
โคโลเอเน่ เรือนจำที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุด มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดในมาเก๊าตั้งแต่เช้ามืดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม รอคอย หลอ กุ่ย เป็นอิสระ
รอยเตอร์เผยแพร่เรื่องราวของเขาออกไปทั่วโลก ขณะที่นิวยอร์กไทม์ส ตั้งข้อกังขาไว้ในเดือนพฤศจิกายน ตั้งแต่เขายังไม่ทันย่างเท้าพ้นตะรางว่า หรือมาเก๊าจะมีศึกอั้งยี่รอบใหม่?
กล่าวกันว่า เพื่อเฉลิมฉลองอิสรภาพของเขา พี่น้อง ร่วมแก๊งจัดโต๊ะจีน 100 โต๊ะฉลอง ที่ เชอราตัน มาเก๊า
นั่นเนื่องเพราะก่อนถูกจับกุม หลอ กุ่ย ถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะ หัวหน้าแก๊งอั้งยี่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คน โผงผาง ที่ ระห่ำ กล้า จนถึงระดับ บ้าบิ่น ซึ่งสามารถเป็น หัวหน้า แก๊งอั้งยี่ที่ใหญ่ที่สุดและหวั่นเกรงกันมากที่สุดในมาเก๊าอย่างแก๊ง 14 เค ได้
คนที่เปิดศึกใหญ่ระลอกแล้วระลอกเล่าเพื่อชิงผลประโยชน์และพื้นที่อิทธิพลกับแก๊งอื่นๆ จนครองความยิ่งใหญ่ได้หมดจดก่อนหน้าถูกจับกุมได้ไม่กี่เดือน
เป็นคนเดียวกับที่ให้สัมภาษณ์ นิวสวีก อวดอ้างได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มี สมุน ร่วมแก๊งนับหมื่นคน
เป็นคนเดียวกับที่ให้สัมภาษณ์ ไทม์ แม็กกาซีน เอาไว้เมื่อปี 1998 ว่า กำลังเตรียมทำ ศึกสวยๆ กับ ไว่ ตรอกตลาด คู่แข่งบารมีรายสำคัญเพื่อ กวาดล้างมันให้หมด
06.35 น. เล็กซัส แอลเอส 430 สีขาว เลี้ยวเข้าไปจอดรอบริเวณหน้าอาคารปล่อยตัวนักโทษ ชายร่างหนาสองคนออกมาจากรถ ยืนรอ ลูกพี่ อยู่บริเวณทางเข้า
06.50 น. หลอ กุ่ย ในวัย 57 ปี เดินออกมาจากอาคาร ตรงดิ่งไปที่เล็กซัสผลุบเข้าไปนั่งด้านหลัง
รถทะยานออกไปสู่ท้องถนนมาเก๊าอย่างรวดเร็ว จุดหมายปลายทางคือ เพิร์ล ออน เดอะ ลักห์ คฤหาสน์ส่วนตัวริมน้ำ ที่แม่ คนในครอบครัว และผองเพื่อนรอคอยอยู่
หลอ กุ่ย กลับมาแล้ว!
หว่าน กว็อก กุ่ย เกิดเมื่อปี 1955 ในย่านสลัมมาเก๊า คุ้นเคยกับอาชญากรรมและ ผล ที่ได้มาจากการ ไม่ลงทุน เพียงแค่ ลงแรง มาแต่อ้อนแต่ออก กระบวนการหลอมตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นถูกเร่งให้เร็วขึ้นเมื่อเขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ยังอยู่ ประถม 3 เข้าไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟในร้ายขายติ่มซำอยู่ได้ไม่นาน ก็ออกมาเตร็ดเตร่ กลายเป็น คนเชียร์หนัง ไปพลาง สั่งสมประสบการณ์ตามท้องถนนไปพลาง
อายุ 16 เริ่มสร้างชื่อในฐานะสมาชิกของอั้งยี่ 14 เค เรียกเก็บค่าคุ้มครอง กรรโชกทรัพย์ ทำกันเป็นกลุ่มกับเพื่อนวัยเดียวกันอีก 6 คน ถูกกล่าวขานถึงในชื่อ 7 เล็กห้าว
สถานะในแก๊ง 14 เค สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกจับติดคุกอยู่ 2 ครั้ง ในทศวรรษ 1970 และ 1980 ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของ หลอ กุ่ย
ยิ่งโด่งดัง
ผู้สื่อข่าวอาชญากรรมคร่ำหวอดในมาเก๊ารายหนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อยังห้าวอยู่ในวัยทีนเอจเขาเคยพบ หลอ กุ่ย ถูกนำส่งโรงพยาบาล ในสภาพเลือดหยดเป็นทางจากบาดแผลถูกแทงร่วมสิบแผล
สมญา หลอ (โบรกเค่น ทูธ) ของ หว่าน กว็อก กุ่ย ได้มาในช่วงเวลานี้นี่เอง เขาเสียฟันไปหลายซี่จากสมรภูมิบนท้องถนนในมาเก๊า แม้ในภายหลังจะ เลี่ยมทอง เรียบร้อย แต่ฉายา หลอ กุ่ย คงทนอย่างยิ่ง
ความบ้าบิ่นขึ้นชื่อของ หลอ กุ่ย ทำให้เขาตกอยู่ในความสนใจของ อึ้ง ไว่ หรือ อึ้ง ม่าน ซุน รุ่นพี่เจ้าของฉายา ไว่ ตรอกตลาด สูงวัย
กว่าเขา 8 ปี สั่งสมบารมีจากการเข้าไปมีเอี่ยวใน กาสิโน หลายแห่ง หน้าที่หลักคือ ทวงหนี้ นักพนันเพื่อหักเปอร์เซ็นต์จากเจ้าของบ่อน
ไว่ ตรอกตลาด ไม่เพียงนำพา หลอ กุ่ย เข้าสู่ธุรกิจ ทวงหนี้ ให้กับบ่อนกาสิโน แต่ยังโน้มน้าวเขาในเวลาต่อมาด้วยถ้อยคำท้าทายอย่างยิ่งว่า แน่จริงก็ กำจัด หัวหน้าแก๊ง 14 เค ให้ได้ ไม่มีใครรู้คำตอบของเขาแน่ชัด รู้แต่ว่า อีกไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้น ม่อ ติงผิง เจ้าพ่อ 14 เค ก็เผ่นออกจากมาเก๊า
หลอ กุ่ย ผงาดขึ้นมาเป็นหัวหน้า นักรบ ของแก๊ง เอื้อมมือออกไปแตะกาสิโนแทบทุกแห่งในมาเก๊าในเวลานั้น พร้อมๆ กับยังคงเก็บค่าคุ้มครอง แผ่อิทธิพลออกไปเกือบทุกหัวระแหง
นั่นเป็นที่มาของมหากาพย์ระหว่างแก๊งที่มีตั้งแต่การยกพวกลุยกันด้วยดาบและปังตอ ไปจนถึงสาดกระสุนเข้าใส่กันตามท้องถนนแบบไม่เกรงกลัวมือกฎหมาย ลอบสังหารด้วยการวางระเบิดรถยนต์ ที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือสงครามระหว่าง แก๊ง 14 เค กับแก๊ง โส่ย ฟง ที่มี ไล้ โส่ย ฟง เป็นผู้ท้าทายชิงความเป็นหนึ่งกับ หลอ กุ่ย
ไล้ โส่ย ฟง เปิดศึกชิงอิทธิพลอยู่นานนับปี ในที่สุดก็โบกมือลาเพราะทนทานกับสภาพความเป็นอยู่ที่ พลาดไม่ได้ทุกวินาที อีกต่อไปไม่ไหว
ฮึกเหิมหนักจากศึกใหญ่ที่ได้ชัย หลอ กุ่ย ไม่ยอมหยุดนิ่ง หมดคู่ต่อกรไกลตัว ก็หันมาหาคู่แข่งบารมีใกล้ตัวอย่าง ไว่ ตรอกตลาด
อึ้ง ไว่ กำลังเตรียมเปิด นิว เซ็นจูรี่ โฮเต็ล โรงแรมใหม่บนเกาะไถ้ฝาของเขาอย่างเป็นทางการ ตอนที่มือปืนนับสิบ หนึ่งในจำนวนนั้นมี เอเค 47
ที่คนไทยเรียกติดปากว่าอาก้า กราดกระสุนไม่นับเข้าใส่ด้านหน้าตัวตึก
นั่นเป็นปี 1996 ตอนที่ อันโตนิโอ มาร์เควส บัพติสตา เดินทางจากโปรตุเกสมารับตำแหน่งก้นยังไม่ทันร้อน!
หลอ กุ่ย ผ่านศึกเหนือเสือใต้ หลั่งเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน นอกจากฉายา หลอ แล้ว ประสบการณ์โชกโชนที่ผ่านมายังฝากริ้วรอยไว้ทั่วตัว ถูกยิงดิ้นมาแล้วสองครั้ง นิ้วกลางทั้งสองข้างของเขาอยู่ในสภาพยืดตรงไม่ได้ เป็นผลมาจากบาดแผลฉกรรจ์จากคมปังตอ ที่ไม่เพียงทิ้งรอยไว้บนท้องแขนทั้งสองข้างเท่านั้น ยังกระทบถึงเส้นเอ็นและกระดูกอีกต่างหาก
กระนั้นคนกล้าบ้าบิ่นอย่าง หลอ กุ่ย ยังจำเป็นต้องเผ่นออกจากมาเก๊าเมื่อปี 1997 เมื่ออยู่ดีๆ มีหมายจับ 2 คดีมุ่งตรงมายังเขา คดีแรกเป็นผลมาจากกฎหมายต่อต้านอั้งยี่ฉบับใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีนั้น อีกคดีเป็นข้อหาลักลอบค้ายาเสพติดจากจีน
เหตุการณ์ยิงถล่ม นิว เซ็นจูรี่ นั้นไม่มีการเปิดเผยกันว่าใครเป็นผู้ลงมือ แต่ปิดกันให้แซดว่า หลอ กุ่ย เข้ามามีเอี่ยวด้วย
หมายจับทั้งสองฉบับก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครชี้ชัดได้ว่าเป็น ผลงานชิ้นเอก ของผู้ใด แต่ หลอ กุ่ย พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือระดับลายครามของใครกัน
น่าสนใจที่การเผ่นจากมาเก๊าของ หลอ กุ่ย เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพราะในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ผู้พิพากษาชาวโปรตุเกสของมาเก๊า
เกิดตัดสินใจ แปลกๆ ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน พิพากษาว่า หว่าน กว็อก กุ่ย ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องในทุกข้อหา
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ผู้พิพากษารายนี้ ยื่นขอเกษียณอายุ แบบนอกเหนือความคาดหมาย แล้วย้ายตัวเองกลับไปโปรตุเกสในรุ่งขึ้นจากวันพิพากษานั่นเอง!
กลับมาเก๊ามาอีกครั้ง คราวนี้ หลอ กุ่ย ไม่ปิดบังอำพรางอีกต่อไป เขาเปิดตัวเป็น ศัตรู กับ ไว่ ตรอกตลาด อย่างเปิดเผย ปิดโปสเตอร์ในที่สาธารณะ กล่าวหา อึ้ง ไว่ ว่าเป็นพ่อค้ายาเสพติด เท่านั้นยังไม่พอ เขาประกาศให้รับรู้ทั่วมาเก๊าว่า ใครก็ตามที่แวะเวียนเข้าไปในกาสิโนของ ไว่ ตรอกตลาด ถือว่าต้องการเป็นศัตรูกับ หลอ กุ่ย
ศึกครั้งนี้แม้ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดชนิดอีกฝ่ายต้องจบชีวิตหรือเผ่นออกจากมาเก๊า แต่ก็ไม่ยืดเยื้อยาวนาน หลอ กุ่ย มีทั้งอำนาจและอิทธิพลเกินกว่าที่ ไว่ ตรอกตลาด จะแข็งขืน ในที่สุดแก๊ง 14 เค และกิจการในเครือข่ายทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้การบัญชาของ หลอ กุ่ย
ว่ากันว่า ในเวลานั้น หลอ กุ่ย มีรายได้เฉพาะจากการหักเปอร์เซ็นต์จากการ ทวงหนี้ จากบ่อนพนันทั้งหลายในมาเก๊ามากถึงเดือนละ 6 ล้านดอลลาร์!
เช้าวันที่ 1 พฤษภาคม 1998 อันโตนิโอ มาร์เควส บัพติสตา ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมตำรวจแห่งมาเก๊า ขับรถมาจอดไว้เพื่อออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่ กูเอีย ฮิลล์ เนินสูงที่สุดในบรรดา 7 เนินเขาในมาเก๊า ธรรมชาติของที่นี่ทำให้มันกลายเป็นแหล่งออกกำลังยามเช้ายอดนิยมไปโดยปริยาย
ขณะลดฝีเท้าเป็นเดินเพื่อผ่อนคลายก่อนกลับขึ้นรถ หัวหน้าตำรวจมาเก๊าเห็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น รถของเขาระเบิดไฟลุกท่วมขึ้นมาต่อหน้าต่อตา
ตอนนั้นเองที่เขาตัดสินใจเด็ดขาดว่ามีบางอย่าง ไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว...
6 สัปดาห์ก่อนหน้าการระเบิดรถยนต์ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมตำรวจมาเก๊าเกิดคดีใหญ่ๆ ขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะคดีฆาตกรรม 6 คดีที่เห็น
ได้ชัดเจนว่าเป็นผลงานของอั้งยี่ เหยื่อรายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ อีกราย
เป็นเจ้าพนักงานตรวจสอบบ่อนพนัน รายสุดท้ายเป็นโชเฟอร์ประจำตัวหัวหน้าสำนักงานต่อต้านอาชญากรรมแห่งมาเก๊า
ทั้งหมดเป็นการท้าทาย แต่สำหรับบัพติสตา นั่นยังไม่ใช่เป็นการท้าทายโดยตรงเหมือนกับการระเบิดรถยนต์ให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา
9 ชั่วโมงหลังรถยนต์ประจำตัวถูกระเบิด บัพติสตานำกำลังตำรวจบุกห้องสวีตในโรงแรมและกาสิโนลิสบัว ที่ว่ากันว่า หลอ กุ่ย มีหุ้นอยู่ในบ่อนพนันแห่งนี้ด้วยถึง 500 ล้านดอลลาร์
หว่าน กว็อก กุ่ย ถูกจับ ข้อหามีตั้งแต่เรียกค่าคุ้มครอง อั้งยี่ซ่องโจร ฟอกเงิน ฆาตกรรม และพยายามลอบสังหารผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมตำรวจแห่งมาเก๊า แต่สุดท้ายแล้ว ทางการมีหลักฐานเอาผิดเขาได้เพียงแค่ 3 ข้อหาแรกเท่านั้นเอง
ไม่นานหลังถูกจับกุม หลอ กุ่ย เจ้าพ่อแก๊ง 14 เค อันลือเลื่องก็ถูกยัดใส่ตะราง และไม่เคยกลับออกมาอีกเลยจนกระทั่งอีก 13 ปี 10 เดือนให้หลัง
การจับกุม หลอ กุ่ย ในครั้งนั้น ส่งผลให้มาเก๊าลุกเป็นไฟ แก๊ง 14 เค ออกอาละวาด ปาระเบิดเพลิงใส่ห้างร้านต่างๆ คืนเดียว 24 จุด รถยนต์ถูกเผาอีกนับเป็น 100 คัน
ลอเรนโซ เนเกโร พนักงานอัยการ กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ ถูกมือปืนโฉบมอเตอร์ไซค์เข้ามายิงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ทั้งคู่รอดมาได้ ยิ่งทำให้ความพยายามเอาผิดกับ หว่าน กว็อก กุ่ย เข้มข้นยิ่งขึ้น
เดือนพฤศจิกายน ปี 1999 หว่าน กว็อก กุ่ย หรือ หลอ กุ่ย หรือ หลอ 14 เค ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ศาลลงโทษจำคุก 14 ปี ต่อมา ลดโทษลงเหลือ 13 ปี 10 เดือน
หนึ่งเดือนหลังจากคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ดังกล่าว โปรตุเกส จัดพิธียิ่งใหญ่ ส่งมอบมาเก๊า คืนให้กับจีน
น่าสนใจว่า อีกเกือบ 14 ปีต่อมา เมื่อ หลอ กุ่ย กลับออกมาเดินถนนอีกครั้ง
ไว่ ตรอกตลาด จะเป็นอย่างไร ไล้ โส่ย ฟง เล่า ทุกวันนี้ยังอยู่ดีหรือ?
เหนือสิ่งอื่นใด มาเก๊า ยังจะเป็น มาเก๊า ใต้อุ้งมือของเขาอยู่อีกหรือไม่?