ตรวจมะเร็งปากมดลูก ด้วยตัวเอง ครั้งแรกในไทย
คิดค้นมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ สำหรับนวัตกรรมการตรวจคัดกรอง ตรวจมะเร็งปากมดลูก ด้วยตนเอง ผ่านชุดอุปกรณ์“Delphi Screener” ที่ใช้งานง่าย ให้ผลแม่นยำ ซึ่งหลังจากทดสอบสามารถส่งผลไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์หาเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ทันที ต่างจากรูปแบบการตรวจหามะเร็งปากมดลูกในแบบเดิมๆ ที่สร้างความเจ็บปวดและเขินอายให้กับคุณสาวๆ ที่ต้องเข้าคิวรับบริการตรวจจากแพทย์ผู้รักษา จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์โรคมะเร็งปากมดลูกพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มปีละ 10,000 ราย และในแต่ละปีพบผู้เสียชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 ราย หรือคิดเป็นผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกตกวันละ 14 ราย ดังนั้นเพื่อรณรงค์ให้คุณสาวๆ หันมาตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยตนเองแต่เนิ่นๆ เพื่อลดการสูญเสียในอนาคต รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง ได้เผยให้ทราบถึงการใช้งานของอุปกรณ์ “เดลฟี สกรีนเนอร์” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องไปสู่กลุ่มผู้ใช้บริการ
คุณหมออธิบายถึงลักษณะและการใช้งานของอุปกรณ์ดังกล่าวว่า “นวัตกรรมนี้มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติกขนาดเท่าปากกา โดยด้านบนนั้นจะมีลักษณะเป็นห่วงและมีปุ่มกดบนห่วง ซึ่งวิธีการใช้นั้นให้นั่งถ่างขาในลักษณะท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน จากนั้นค่อยๆ สอดแท่งพลาสติกดังกล่าวเข้าไปในช่องคลอด โดยที่นิ้วหัวแม่มือสอดเข้าไปห่วง แล้วใช้นิ้วชี้กดไปที่บริเวณปุ่มด้านบนห่วง พร้อมๆ กับการนับ 1 2 3 จากนั้นน้ำเปล่าที่บรรจุอยู่ในแท่งอุปกรณ์ดังกล่าวประมาณ 1 ซีซีจะไหลเข้าไปยังช่องคลอด เพื่อเข้าไปนำเซลล์เนื้อเยื่อบุมดลูก หรือไวรัส HPV ที่เกาะอยู่บริเวณช่องคลอด โดยแท่งพลาสติกจะดูดของเหลวเหล่านี้ไปเก็บไว้ จากนั้นให้นำของเหลวดังกล่าวบีบลงในหลอดเก็บตัวอย่าง (ต้องมีลักษณะขุ่นและมีเนื้อเยื่อบางจึงจะถือว่าตัวอย่างสมบูรณ์พร้อมตรวจ) เพื่อส่งตรวจยังห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสดังกล่าวต่อไป หรือสามารถส่งทางไปรษณีย์ก็ได้เช่นกัน”
ส่วนความแตกต่างระหว่าง “เดลฟี สกรีนเนอร์” กับอุปกรณ์ทดสอบมะเร็งปากมดลูกก่อนหน้านี้ คุณหมอระบุว่า “อุปกรณ์ตรวจคัดกรองมะเร็งก่อนหน้านี้จะมีลักษณะคล้ายกับแปรงล้างขวดนม ที่อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในขณะทดสอบ หรือแม้แต่การตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจแปปสเมียร์ที่เรียกได้ว่าดีที่สุด แต่อาจติดข้อจำกัดที่ต้องทำโดยแพทย์ ซึ่งสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้รับบริการ” สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ควรทดสอบมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเองนั้น คุณหมอแนะนำว่า “เป็นกลุ่มของผู้หญิงไทยที่มีอายุระหว่าง 25-65 ปี หรือพูดง่ายๆ ว่ากลุ่มผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ และยังไม่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจแบบตรวจแปปสเมียร์มาก่อน (คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 70) ก็สามารถใช้อุปกรณ์ดังกล่าวได้ และควรทดสอบมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง”
แม้อุปกรณ์จะมีความแม่นยำในการดักจับเชื้อไวรัส HPV ได้ถึง 96-99 เปอร์เซ็นต์ ก่อนส่งผลตรวจไปยังห้องปฏิบัติการ แต่ นพ.วิชัยย้ำว่า “การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกที่ดีนั้นควรไปพบแพทย์ เพราะนอกจากโรคร้ายดังกล่าวแล้วยังสามารถพบโรคอื่นๆ เช่น โรคเนื้อเยื่อเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ หรือมะเร็งรังไข่ ฯลฯ ก็เป็นได้ ดังนั้นหากตรวจพบความผิดปกติเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น” นอกจากนี้หากลดปัจจัยการเกิดมะเร็งปากมดลูก 3 ข้อต่อไปนี้ ก็จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก และลดการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยลงได้ โดยเริ่มจาก 1.ลดพฤติกรรมเสี่ยง เนื่องจากการที่เราทราบว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นจึงไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร 2.ใช้ถุงยางอนามัย 3.ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก จะช่วยป้องกันได้ 70-80%”.