เจ้าอาวาส ประกาศขายวัด 2,000 ล้าน หนีโรงงานส่งกลิ่นเหม็น
''หลวงปู่พุทธะอิสระ'' จากวัดอ้อน้อยหมดขันติ ขึ้นป้ายใหญ่ประกาศขายวัด 2,000 ล้าน รวมที่ดิน 200 ไร่ อ้างทนกลิ่นเหม็นมาร่วม 2 ปี หลัง รง.อาหารสัตว์มาเปิดใกล้วัด
เรื่องราวเจ้าอาวาสวัดดังถึงกับขึ้นป้ายประกาศขายวัดครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 มกราคม หลวงปู่พุทธะอิสระ พระนักเทศน์ชื่อดัง และเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ถนนมาลัยแมน (กม.17) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เปิดเผย “คม ชัด ลึก” ว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา ได้สั่งให้พระลูกวัดจัดทำป้ายขนาดใหญ่ 3 แผ่น โดยมีข้อความว่า “ขายวัด ราคาถูก” นำไปติดไว้บริเวณหน้าวัด พร้อมตั้งราคาขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท หากใครหรือวัดใดอยากซื้อจะได้โอนที่ดินกว่า 200 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งโรงเจที่ใช้งบก่อสร้าง 700 ล้านบาท ไปเป็นกรรมสิทธิ์ด้วย
ที่มาที่ไปของการประกาศขายวัดครั้งนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ บอกว่า ทนกลิ่นเหม็นจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดไม่ไหว ได้เจรจาพร้อมทั้งทำเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องมากว่า 2 ปี แต่ก็ไม่เป็นผล มีแต่กลิ่นจากโรงงานจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งนี้ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินทุกอย่างตามขั้นตอน พยายามพูดให้ทางโรงงานฟังว่า วัดเดือดร้อน แต่ทางโรงงานอ้างว่า ได้ดำเนินการแก้ไขให้ทุกอย่างแล้ว ล่าสุดทางโรงงานได้ถวายเครื่องฟอกอากาศมาให้ 1 เครื่องเท่านั้น จึงตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ต้องการเครื่องฟอกอากาศ แต่ฉันอยากได้อากาศที่ฉันเคยหายใจให้บริสุทธิ์เหมือนเดิมก่อนหน้าที่จะมีโรงงานมาตั้ง”
หลวงปู่พุทธะอิสระ ยืนยันว่า ไม่ได้ประชด ถ้ามีคนซื้อก็ยินดีจะขาย เมื่ออยู่ไม่ได้สู้ไม่ไหวก็ต้องย้ายออกไป ถ้าขายได้จะเอาบาตรกับจีวรติดตัวออกไปเท่านั้น ถ้าขายได้จริงๆ จะไปหาที่ตั้งวัดใหม่ เอาให้ไกลๆ ชนิดที่เรียกว่า ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก
"อาตมา ญาติโยม และผู้ปฏิบัติธรรมทนเหม็นมาแล้ว 2 ปี เวลาแสดงธรรมหากลมพัดมาทางวัด สูดดมกลิ่นเข้าไปจะรู้สึกแสบจมูกมาก ปีที่แล้วเด็กที่บวชสามเณรภาคฤดูร้อนหลายคนต้องสึกออกไปก่อนครบกำหนด พระบางรูปป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งตัวอาตมาด้วย” หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าว
เมื่อถามว่า ระหว่างวัดกับโรงงานใครสร้างหรือตั้งขึ้นก่อน หลวงปู่พุทธะอิสระ บอกว่า วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) เริ่มก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ.2532 โดยคุณโยมทองห่อ วิสุทธิผล ผู้มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ได้บริจาคเงินซื้อที่ดินเริ่มแรกจำนวน 9 ไร่ พร้อมกันนี้ยังได้บริจาคเงินกองทุนในเบื้องต้น ปัจจุบันได้ซื้อที่ดินขยายวัดออกไปกว่า 200 ไร่ ส่วนโรงงานผลิตอาหารสัตว์เพิ่งเปิดดำเนินการและส่งกลิ่นเหม็นมา 2 ปี เท่าที่ทราบแรกเริ่มได้ขออนุญาตตั้งเป็นโกดังเก็บสินค้าเท่านั้น โดยไม่มีใครทราบมาก่อนว่าจะเป็นโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งเพิ่งเปิดดำเนินการมาประมาณ 2 ปีเท่านั้น
ล่าสุดยังจะมีโรงงานถลุงแร่และหลอมเหล็กมาตั้งอีกแห่งหนึ่ง แต่ด้วยสามัญสำนึกของเจ้าของโรงงานก็ได้เข้ามาปรึกษาหารือก่อน โดยวันนั้นมีกลิ่นจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์โชยเข้ามาที่วัด เจ้าของโครงการได้กลิ่นเหม็นสร้างความรำคาญจนล้มเลิกโครงการไปในที่สุด
เมื่อถามถึง “ความมีขันติ ในฐานะที่เป็นพระต้องมีขันติมากกว่าชาวบ้านนั้น” หลวงปู่พุทธะอิสระ อธิบายว่า ความมีขันติของพระก็มีขอบเขตจำกัดเช่นกัน 2 ปีที่ทนกลิ่นเหม็นมาก็มากพอแล้ว ถ้าไม่มีขันติต้องขึ้นป้ายขายวัดตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้กลิ่นเหม็นมา 2 ปีแล้ว พยายามอดทนอดกลั้น พยายามใช้สันติวิธีเพื่อให้วัดกับโรงงานอยู่ด้วยกันได้ แต่เมื่อสู้ไม่ได้ทางที่ดีที่สุดก็ต้องขายวัดและย้ายออกไป
“ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องโทษนักการเมือง และระบบราชการ ที่คิดว่าชาวบ้านไม่มีตัวมีตน ไม่มีปากเสียงที่จะไปต่อสู้กับกลุ่มทุน น่าจะมีการเซ็นอนุญาตตั้งโรงงานแบบไม่ชอบมาพากล ในที่สุดจึงเกิดปัญหาอย่างที่เห็น” หลวงปู่พุทธะอิสระตั้งข้อสงสัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อแรกเริ่มของการสร้างวัดนั้น หลวงปู่พุทธะอิสระ บอกว่า ได้เลือกทำเลที่ตั้งของวัดว่าจะสร้างวัดให้เป็นวัดในโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ 72 โดยในปีที่ก่อสร้างนั้น บริเวณรอบวัดเต็มไปด้วยป่าอ้อย ยังไม่มีบ้าน ไม่มีโรงงาน เหมาะแก่การสร้างวัดเพื่อเป็นสถานปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง แต่ 10 ปีที่ผ่านมา ชุมชนมีการขยายตัว ป่าอ้อยค่อยหมดไป พร้อมๆ กับการมาของชุมชน และโรงงานผลิตอาหารสัตว์
ส่วนการพัฒนาวัดนั้น ที่ดินเดิมเป็นที่ลุ่ม มีน้ำท่วมขังสูงระดับศีรษะ และมีที่ดินดอนอยู่เพียง 1 ไร่เศษ ซึ่งได้เริ่มทำการก่อสร้างเมื่อต้น พ.ศ.2533 โดยหลวงปู่พุทธะอิสระเป็นผู้นำพัฒนาบุกเบิกสร้างวัดขึ้น ซึ่งวางรูปแบบตามตำราโบราณ และตามหลักพิชัยณรงค์สงคราม การพัฒนาและจัดสร้างทุกขั้นตอนได้ใช้แรงงานของพระภิกษุและสามเณรภายในวัดเป็นส่วนใหญ่ ในระยะเริ่มแรกมีพระภิกษุเพียง 2 รูป และสามเณร 3 รูป ทั้งได้ช่วยกันปลูกสร้างกุฏิ ปลูกต้นไม้ ฯลฯ
ในปัจจุบันเนื้อที่ของวัดได้ขยายเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้บรรดาญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาจัดซื้อที่ดินบริจาค จนถึงปัจจุบันรวมการใช้จ่ายปัจจัยในการพัฒนาวัดเป็นเงินประมาณ 80 ล้านบาทเศษ โดยที่ทางวัดมิได้เรี่ยไร หรือตั้งตู้รับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น รวมเวลาการพัฒนาทั้งหมดประมาณ 9 ปี
จากการลงพื้นที่ของทีมข่าว "คม ชัด ลึก" พบว่า มีกลิ่นเหม็นดังกล่าวจริง โดยเห็นได้ชัดว่า ขณะกำลังสัมภาษณ์ ก็ได้กลิ่นมลพิษดังกล่าวโชยมาตามลมเป็นระยะๆ ส่วนโรงงานที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอดังกล่าว ก็มีขนาดใหญ่พอสมควร โดยตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดอีกฟากฝั่งถนนเข้าซอยไปราว 100 เมตรเท่านั้น
วันเดียวกัน นายอดุลย์กิตติ วุฒาพาณิชย์ นายกองค์บริหารส่วนตำบล (อบต.) ห้วยขวาง ให้สัมภาษณ์ "คม ชัด ลึก" ทางโทรศัพท์ว่า เรื่องกลิ่นเหม็นจากโรงงานอาหารสัตว์ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในละแวกดังกล่าวมาเป็นระยะๆ แต่กลิ่นไม่ได้โชยตลอด 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพแรงลม ที่ผ่านมาทราบว่าทางโรงงานพยายามแก้ไขเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะการติดตั้งระบบดูดกลิ่นเพื่อป้องกันมลภาวะไม่ให้กระทบกับชุมชนมากนัก แต่ต้องยอมรับว่า จะให้ปลอดกลิ่น 100% คงเป็นไปได้ยาก
"โรงงานแห่งนี้ผ่านการเซ็นอนุญาตดำเนินการมากว่า 3 ปี ส่วนผมเพิ่งเข้ามารับประมาณ 2-3 เดือน ได้ยินชาวบ้านบ่นเรื่องกลิ่นเหม็นพอสมควร โดยเฉพาะเวลาลมเปลี่ยนทิศพัดเข้าบ้านเรือนจะมีคนเดือดร้อนบ้าง ทาง อบต.ก็พยายามหาทางช่วยเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อทางวัดขึ้นป้ายประกาศว่าทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว ถึงขั้นประกาศขาย ดังนั้นวันพรุ่งนี้ (21 ม.ค.) ทาง อบต.ห้วยขวาง เตรียมตั้งคณะกรรมการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยส่วนตัวผมก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ (หลวงปู่พุทธะอิสระ) ผมเคารพท่าน คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะมีข้อยุติเสียที" นายอดุลย์กิตติกล่าว
นายก อบต.ห้วยขวาง กล่าวอีกว่า นอกจากคณะกรรมการชุดของ อบต.แล้ว เตรียมประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมมลพิษ และอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม ร่วมตรวจสอบด้วย เพื่อหาทางออกให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าปัญหาต่างๆ น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น