วันที่ 20 ม.ค. เอเอฟพีรายงานเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนหลายประเทศจากการจับตัวประกัน ที่โรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติกลางทะเลทรายในแอลจีเรีย ว่า ปฏิบัติการของกองกำลังความมั่นคงแอลจีเรียยุติลงอย่างนองเลือด หลังตึงเครียดมา 4 วัน พบศพตัวประกันในเบื้องต้น 25 ราย จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่กระทรวงกลาโหมแอลจีเรียแถลงว่ามีอย่างน้อย 53 รายทั้งเหยื่อและคนร้าย โดยตัวประกันชาวญี่ปุ่นถูกสังหารถึง 9 ราย จากนั้นพบศพอีกจำนวนมากในสภาพร่างเละ



เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. กลุ่มติดอาวุธเครือข่ายอัล ไคด้า ในแอฟริกาเหนือ จับคนงานกว่า 10 ชาติ ที่โรงงานอินอะมีนาส กลางทะเลทรายซาฮาร่า เพื่อตอบโต้กองทัพฝรั่งเศสยกทัพถล่มกลุ่มกบฏในประเทศมาลี ต่อมาวันที่ 17 ม.ค. กองกำลังพิเศษของแอลจีเรียเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือคนงานแอลจีเรีย 685 คน และคนงานต่างชาติ 107 คน โดยในวันที่ 18 ม.ค. ช่วยเหลือตัวประกันได้กว่าร้อยคน แต่มีคนงานไม่ต่ำกว่า 12 รายเสียชีวิต จากนั้นในช่วงเช้าวันที่ 19 ม.ค. หน่วยพิเศษบุกเข้ายุติเหตุการณ์ได้ แต่ตัวประกันเสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลนานาชาติจะรุมตำหนิปฏิบัติการดังกล่าว



นายโมฮาเหม็ด ซาอิด โฆษกรัฐบาลแอลจีเรียแถลงว่า คนร้ายซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธมาจาก 6 ประเทศ วางแผนก่อความเสียหายสูงสุด คือระเบิดโรงงานก๊าซและสังหารตัวประกันทุกราย โดยหลังเหตุสงบลง เจ้าหน้าที่ตรวจพบอาวุธร้ายแรงจำนวนมาก อาทิ ปืนกล 2 กระบอก ปืนไรเฟิล 21 กระบอก ปืนครกขนาด 60 ม.ม. ฐานปล่อยจรวดอาร์พีจี 2 เครื่อง ระเบิดมือ 10 ลูก และระเบิดอีกหลายชนิด



สำหรับตัวประกันชาวต่างชาติที่ประสบชะตากรรมสลด พยานรายหนึ่งกล่าวว่า เห็นชาวญี่ปุ่น 9 รายถูกคนร้ายสังหารทั้งหมด ส่วนชาติอื่นๆ คาดว่ามีอังกฤษ โคลัมเบีย ฝรั่งเศส นอร์เวย์ โรมาเนีย สหรัฐ ด้านคนงานฟิลิปปินส์ 39 รายที่อยู่ในอีกโรงงานหนึ่ง เดินทางกลับถึงกรุงมะนิลาแล้ว พร้อมเผยว่าถูกส่งกลับเพื่อความปลอดภัย แม้ที่เกิดเหตุจะไกลออกไปจากโรงงานที่ทำงานอยู่