วันนี้ (20ม.ค.) ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และในฐานะกรรมการกิจการโทรคมนาคม กทค.) เปิดเผยว่า จากการที่ไปสุ่มตรวจศูนย์บริการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ร่วมกับ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันดีเดย์ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องปฎิบัติตามข้อ 11 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ที่ห้ามกำหนดวันหมดอายุของบัตรโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินนั้น พบว่า ผู้ประกอบการมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับเส้นตายที่ กสทช. กำหนด โดยถึงแม้จะมีการกำหนดวันหมดอายุ แต่มีการปรับปรุงเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น กำหนดวันหมดอายุ เป็น 30 วัน โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเติมจำนวนเงินตามที่กำหนด และเมื่อระยะเวลาใกล้ครบกำหนดก็จะมีการขยายวันให้
ทั้งนี้โดยภาพรวมถือว่าผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือกับ กสทช. ในระดับหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากอาจจะเป็นวันแรกที่มีการนำระบบใหม่มาใช้ จึงพบว่าหลายค่ายยังขลุกขลักอยู่บ้าง และยังไม่พร้อมเท่าไรนัก ซึ่งได้รับการชี้แจงจากพนักงานของผู้ประกอบการว่าเป็นปัญหาด้านเทคนิคและรับรองว่าจะเข้าที่เข้าทางโดยเร็ว ดังนั้นเพื่อให้การกำกับดูแลผู้ประกอบการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กสทช.คงไม่ตรวจเพียงแค่วันดีเดย์เท่านั้น แต่จะติดตามการดำเนินการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย โดยตนและคณะมีกำหนดจะลงพื้นที่ตรวจศูนย์บริการและระบบเติมเงินครั้งต่อไปในต้นสัปดาห์นี้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการดำเนินการตามที่ให้สัญญาไว้กับกสทช. จริงๆ ซึ่งหากการดำเนินการดังกล่าวยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็จะส่งผลให้จำนวนค่าปรับที่กำหนดไว้วันละ 1 แสนบาท ยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ และถ้าหากมีการแนะนำแล้วยังไม่ปรับปรุงก็จะมีการเพิ่มจำนวนค่าปรับต่อวันให้สูงขึ้นอีก ส่วนมาตรการที่จะนำมาใช้บังคับนั้น จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก คือ เตือน ปรับ เพิ่มค่าปรับ พักใช้ใบอนุญาต ไปจนถึงการเพิกถอนใบอนุญาต
“อย่าไปคิดว่า ค่าปรับเพียงวันละ 1 แสน จะไม่กระทบต่อผู้ประกอบการที่ได้กำไรแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล ผมเชื่อว่า ตอนนี้สังคมกำลังจับตามองผู้ประกอบการอยู่ อย่างไม่กระพริบตา เพื่อที่จะดูว่าผู้ประกอบการรายใดปฎิบัติตามกฎกติกา และรายใดบ้างที่ไม่ปฏิบัติตามและยังคงเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่ ซึ่งภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ณ ขณะนี้หากผู้ประกอบการที่ตกลงในวันประชุมกับ กสทช. เมื่อวันที่ 14 มกราคม แล้วไม่ปฏิบัติตามที่สัญญาไว้ก็จะกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้บริโภคทันที ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอน ตรงกันข้ามหากผู้ประกอบการปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้และยึดตามกรอบกติกา ก็จะกลายเป็นพระเอกในดวงใจของผู้บริโภคอย่างแน่นอน จึงขอเตือนให้รีบทำตามสิ่งที่รับปากกับ กสทช.เอาไว้” ดร.สุทธิพลกล่าวย้ำ
อนึ่ง แม้ข้อ 11 ของประกาศ กทช. ข้างต้นจะห้ามผู้ประกอบการกำหนดวันหมดอายุ แต่ก็ยังเปิดช่องให้ผู้ประกอบการที่ต้องการกำหนดวันหมดอายุในบัตรเติมเงินทำเรื่องขอความเห็นชอบจาก กสทช.ได้โดยให้ กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบตามที่เห็นสมควรเพื่อมิให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ แต่ก็มักเข้าใจผิดกัน ว่า เงื่อนไขที่ว่านี้เป็นเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ตามการที่ กสทช.ให้ผู้ประกอบการที่ต้องการจะกำหนดวันหมดอายุในบัตรเติมเงินเสนอเงื่อนไขเข้ามาก็เพื่อต้องการทราบข้อมูลจากผู้ประกอบการเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสมต่อไป
“ทราบว่าผู้ประกอบการได้ทะยอยส่งข้อเสนอเกี่ยวกับเงื่อนไขเข้ามาแล้ว โดยเรื่องเข้ามาที่กลุ่มกฏหมายโทรคมนาคม และเมื่อทางสำนักงาน กสทช.ทำความเห็นประกอบการพิจารณาแล้ว บอร์ด กทค. จะรีบพิจารณาทันทีโดยจะดูว่าอยู่ในกรอบมาตรฐานขั้นต่ำที่ทาง กสท ช.กำหนดไว้หรือไม่ โดยเงื่อนไขที่จะกำหนดจะต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อยุติในเรื่องนี้เสียที เพราะคาราคาซังมานานแล้ว หากปล่อยไว้เรื้อรังก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใด ทางบอร์ด กทค. ก็มีการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการหลายครั้งและมาตรฐานขั้นต่ำในเรื่องบัตรเติมเงิน (พรีเพด) ที่กำหนดล่าสุดก็มีความยืดหยุ่นพอสมควรแล้ว ผู้ประกอบการน่าจะรับได้ และขอให้ผู้บริโภครอฟังข่าวดี” ดร.สุทธิพล กล่าวทิ้งท้าย