เมื่อวันที่ 19 ม.ค. เอเอฟพีรายงานความคืบหน้าปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันในโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ ในเมืองอินอะมีนาส ทางตะวันออกของแอลจีเรีย ภายหลังคอมมานโดแอลจีเรียบุกเข้าช่วยตัวประกันกว่า 100 คน และยึดพื้นที่ส่วนบ้านพักของพนักงานคืนเมื่อ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีตัวประกันเสียชีวิตอย่างน้อย 12-35 ราย สร้างความไม่พอใจให้กับนานาชาติอย่างมาก ล่าสุด ทางผู้ก่อการร้ายยังคงจับตัวประกันชาวต่างชาติไว้ในส่วนของโรงกลั่นอีก 7 คน โดยเอเอ็นไออ้างแหล่งข่าวที่เป็นสมาชิกของกลุ่มก่อเหตุ ว่าตัวประกันดังกล่าวเป็นชาวเบลเยียม 3 คน สหรัฐ 2 คน และอังกฤษกับญี่ปุ่น ส่วนบริเวณโดยรอบถูกล้อมไว้ด้วยทหารกองทัพแอลจีเรียกว่า 1,500 นาย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยังคงสับสน เนื่องจากแอลจีเรียไม่ยินยอมให้ต่างชาติเข้าใกล้พื้นที่เกิดเหตุ
นายรูเบ็น อันดราดา พนักงานชาวฟิลิปปินส์ อายุ 49 ปี หนึ่งในตัวประกันผู้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด ระหว่างการบุกของคอมมานโดแอลจีเรีย เล่าว่า ตนเป็น 1 ในตัวประกันกว่า 35 คน ที่ถูกจี้และถูกรัดคอไว้ด้วยระเบิด นำไปขึ้นรถเอสยูวี 5 คัน เพื่อเป็นโล่มนุษย์ให้ผู้ก่อการร้ายอีก 15 คน มุ่งหน้าจากบ้านพักไปยังโรงกลั่น โดยเมื่อรถวิ่งออกมามีแต่การยิงกันเต็มไปหมด ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งระดมยิงเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ที่บินไล่ตาม เสียงดังมาก ตนหลับตาแน่นระหว่างที่ขบวนรถถูกระดมยิงจากเฮลิคอปเตอร์
กระทั่งรถที่ตนนั่งอยู่แยกตัวออกจากขบวนและพลิกตะแคงข้างจากแรงระเบิด โดยเมื่อตนได้สติก็พบว่าถูกร่างของคนอื่นทับอยู่ และถูกยิงเข้าที่สะโพก ด้านนอกรายล้อมไปด้วยเศษซากของรถคันอื่น และส่วนขาของผู้ก่อการร้าย ขณะที่ตัวประกันชาวไอร์แลนด์อีกคนที่นั่งในรถคันเดียวกัน เมื่อลืมตาขึ้นก็พบกับศีรษะมนุษย์ที่แหลกเละหล่นอยู่ใกล้ๆ ด้วย ก่อนจะถูกทหารแอลจีเรียนำส่งโรงพยาบาล ขณะนี้ทั้งสองคนอาการปลอดภัยแล้ว
ด้านองค์การสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงที่สุด พร้อมเรียกร้องให้นำผู้ร่วมขบวนการและสนับสนุนด้านการเงินมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม