วันนี้( 17 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลก ผู้โดยสารทั้งต่างจังหวัดและชาวพิษณุโลกต่างให้ความสนใจกับป้ายข้อความขนาดใหญ่ ที่ติดไว้บนเครื่องบินโบอิ้ง 747 จำนวน 2 ลำ ที่จอดแน่นิ่งในท่าอากาศยานพิษณุโลกมานานแล้ว โดยข้อความบนเครื่องบินทั้ง 2 ลำ เขียนด้วยตัวอักษร สีน้ำเงิน ระบุว่า “เครื่องบินลำนี้ เป็นทรัพย์สินที่บริจาคเพื่อการศึกษาและเรียนรู้ “ ผู้โดยสารที่เดินทางมาลงที่ท่าอากาศยานพิษณุโลกต่างถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก และตามด้วยความสงสัยว่า บริจาคให้หน่วยงานใด ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามข้อมูลจากนายเกษม อินทสร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลก ได้ความว่า เครื่องบินทั้งสองลำ เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747 ขนาด 400 ที่นั่ง เป็นของ บริษัท โอเรียลไทย จำกัด มาจอดที่ท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลกตั้งแต่ปี 2551 และช่วงปี 2554 ถูกกองปราบมาตรวจสอบและอายัดดำเนินคดีไว้ จนถึงปัจจุบัน ก็ยังคงจอดอยู่ที่ท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลกเช่นเดิม โดยยังเสียค่าจอดเครื่องบินตามระเบียบของท่าอากาศยานในอัตรา 1,000 กว่าบาทต่อลำต่อ 1 วัน หรือ ทั้งสองลำเสียค่าจอดเดือนละ 70,000 กว่าบาทต่อเดือน
ผอ.ท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต่อว่า ในการติดป้ายข้อความเป็นเครื่องบินทั้งสองลำ บริษัท โอเรียลไทย จำกัด ได้มาขออนุญาตจากท่าอากาศยาน จ.พิษณุโลกเมื่อประมาณ 5 เดือนก่อนแล้ว และทำการติดป้ายข้อความเหมือนกันทั้งสองลำ แต่ไม่ทราบเจตนาว่า ที่ติดป้ายว่าบริจาคเพื่อการศึกษา บริษัทบริจาคให้หน่วยงานไหน อย่างไร แต่สถานะขณะนี้คือ ท่าอากาศยาน จ.พิษณุโลก ได้รับแจ้งจากตำรวจกองปราบให้อายัดเครื่องบินทั้ง 2 ลำไว้ก่อน ไม่ให้เคลื่อนย้าย และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้การดำเนินเรื่องต่าง ๆ ให้เสร็จ เพื่อที่ท่าอากาศยานจ.พิษณุโลก จะได้ใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ส่วนการจะเคลื่อนย้ายอย่างไรนั้นไม่น่าใช่ปัญหา แม้ว่าเครื่องบินทั้งสองลำจะถอดเครื่องออกไปแล้วก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญสามารถถอดเป็นชิ้นส่วนได้
รายงานแจ้งว่า เครื่องบินทั้งสองลำ เป็นทรัพย์สินของ บริษัท โอเรียลไทย จำกัด ได้บินลงมาจอดที่ท่าอากาศยาน จ.พิษณุโลก เมื่อปี 2551 เป็นเครื่องบินที่ปลดระวางแล้ว มีการถอดเครื่องยนต์ออกไปนำเหลือโครงเครื่องบิน เมื่อวันที่ 7 -8 มีนาคม 2554 พ.ต.อ.ธนาวุฒิ ท้วมสมบุญ ผกก.4 กองบังคับการปราบปราม นำกำลังพร้อมหมายศาลพิษณุโลกตรวจสอบเครื่องบินทั้ง 2 ลำ โดยระบุว่ากองปราบ ได้รับการร้องเรียนว่า มีการชำแหละชิ้นส่วนเครื่องบิน ขายโดยไม่เสียภาษีให้รัฐ การตรวจสอบครั้งนั้นพบว่าได้มีการถอดเครื่องยนต์ของเครื่องบินทั้งสองลำไปแล้ว ขณะที่ข้อมูลเชิงลึกระบุว่า เครื่องบินที่ปลดระวาง ชิ้นส่วนเครื่องบินที่เป็นอลูมิเนียมและไททาเนี่ยมมีความต้องการซื้อสูงในประเทศจีน เครื่องบินที่ปลดระวางแล้วมีราคาขายให้เอกชนรับซื้อไปชำแหละลำละประมาณ 6 ล้านบาท ขณะที่ภายหลังจากกองปราบมาตรวจสอบและส่งฟ้องดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน เครื่องบินทั้งสองลำก็ยังคงจอดอยู่ ณ จุดเดิมที่ลานจอดท่าอากาศยาน จ.พิษณุโลก โดยจอดอยู่บริเวณริมลานจอดในฝั่งด้านทิศเหนือ และทิศใต้ และเมื่อติดป้ายข้อความตัวใหญ่ไว้ ทำให้ระยะนี้ได้รับความสนใจจากชาวพิษณุโลกว่า จะบริจาคให้ใคร