เปิดบ้าน เน วัดดาว อดีตอันธพาลกลับใจ ขอเป็นคนดี
เป็นมหากาพย์ยาวต่อเนื่องข้ามปีเลยทีเดียว... สำหรับเรื่องราวของวัยรุ่นสองคนที่ท้าต่อย ท้าตี กันผ่านโซเชียลแคม อย่าง "เน วัดดาว" หรือ นายนครินทร์ พุ่มระนาด กับ "แอล โอรส" นายศราวุธ ศรีกำเนิด ซึ่งต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เกิดจากทั้งคู่เคยเป็นสมาชิกแก๊งโอรส และแตกคอกันเอง ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า ฝ่าย "เน วัดดาว" จะออกมาประกาศว่า กลับตัวกลับใจขอเป็นคนดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย และไม่ขอไปเป็นอันธพาลอีกต่อไป... แต่แน่นอน เชื่อเลยว่าหลายคนคงยังไม่ปักใจเชื่อ เน วัดดาว ในครั้งนี้...
ทั้งนี้ รายการ เปิดหน้าคุย ทางช่อง เนชั่นแชนแนล (ออกอากาศเมื่อวันที่ 12 มกราคม) ได้นำเสนอเรื่องราวแบบเจาะลึกของ "เน วัดดาว" อันธพาลที่โด่งดังในโลกโซเชียล พร้อมเปิดใจถึงสาเหตุและที่มาที่ไปของการก้าวเข้าไปอยู่ในเส้นทางอันธพาล
โดย "เน วัดดาว" เป็นฉายาที่มาจากวัดดาวดึงษาราม ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้านของเขานั่นเอง ซึ่ง "เน วัดดาว" เผยเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวให้ฟังว่า ตอนนี้ตนอายุ 22 ปี เป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุ 5 ขวบ ส่วนที่บ้านก็ประกอบอาชีพขายพวงมาลัย ร้อยมะลิ ร้อยดอกไม้ขาย สำหรับตนนั้น ตอนเช้าถ้าตื่นทันก็จะขับวินมอเตอร์ไซค์ และก็มีกิจการเป็นตู้เกม และตู้ขายน้ำอัดลม ซึ่งเกมก็เป็นเพียงเกมฟุตบอลธรรมดา ไม่มีพิษมีภัย เด็ก ๆ ที่นี่ก็จะชอบเล่นกัน หยอด 5 บาท เล่นได้ 15 นาที ตนก็ได้รายได้จากตรงนี้ไม่มากไม่น้อย แล้วแต่วัน บางวันก็ 300-400 บาท แต่ก็ต้องหักให้ตู้ที่มาลง อย่างเช่นถ้าได้เงิน 1,000 บาท ตนก็จะได้ 200 บาท เป็นต้น
เน วัดดาว ยังได้พาพิธีกรเข้าบ้าน และทักทายกับครอบครัวของเขา ประกอบด้วย ปู่ ย่า คุณน้า คุณอา ซึ่งคุณย่าเผยว่า เลี้ยงเนมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะสงสาร พ่อแม่ก็ไม่มี เสียชีวิตไปทั้งคู่ตั้งแต่เนย (น้องสาวของเนวัดดาว) ยังไม่เข้าโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ ถ้าถามว่ารักเนมากไหม ตนรักมาก เขาอยากทำอะไรไม่มีห้ามเลย พี่ป้าน้าอาตามใจเขาหมด รักมากยิ่งกว่าลูกเสียอีก
"แต่ก่อนก็หนักใจ ที่เนเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับใจแล้ว ดีใจเลย แต่ก็ยังเป็นห่วงเนอยู่ ไปไหนอะไรยังไงก็ยังห่วงอยู่ ญาติ ๆ ก็เหมือนกัน ถ้ากลับมาไม่เจอเนก็จะถามตลอดว่าเนจะกลับกี่โมง กลับมาหรือยัง ต่างคนก็ต่างถาม ห่วงมาก ถ้ามืดแล้วเนยังไม่กลับบ้านก็จะนอนไม่หลับ อยากให้เขาอยู่บ้าน เพราะที่บ้านเราปลอดภัยที่สุด ส่วนตอนนี้เนบอกว่ากลับตัวแล้ว เราก็โล่งใจ แต่ก็ไม่ซะทีเดียว เพราะเมื่อวันก่อนคู่อริยังมาอยู่เลย" ย่า เน วัดดาว กล่าว
ส่วน เน วัดดาว ก็กล่าวว่า หลังจากที่ตนตั้งใจจะกลับตัวนั้น ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ถ้าตื่นเช้าก็ไปขับวิน แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับเท่าไหร่ เพราะตนตื่นสาย ชอบนอนดึก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ตนก็เล่นเฟซบุ๊ก เล่นโทรศัพท์ นั่งเล่นกับเด็ก ๆ อยู่หน้าบ้านเนี่ยแหละ บางวันก็นอนหน้าบ้าน จนเด็ก ๆ มาปลุกเพื่อมาขอแลกเงินเล่นเกมหยอดตู้ (หัวเราะ)
เมื่อถาม เน วัดดาว ว่ารู้ตัวไหมว่าดังมากในโซเชียลเน็ตเวิร์ก จนกลายเป็นไอดอลของเด็กบางกลุ่มไปแล้ว ด้านเน วัดดาว เผยว่า จริง ๆ แล้ว คลิปที่ท้าตีท้าต่อยมีเพียง 2-3 คลิปเท่านั้น แต่คนที่ติดตามจริง ๆ จะรู้ว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น เพราะตนบันทึกเรื่องราวชีวิตประจำวันของตน ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง พูดเรื่อยเปื่อย แต่ตนชอบแฝงคำคมเอาไว้ ส่วนคลิปทะเลาะกัน ตอนนี้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องโจ๊กไปหมดแล้ว ตนคิดว่ามันก็ดี มองให้เป็นเรื่องตลกจะได้ไม่ทะเลาะกัน สำหรับคำพูดที่คนชอบเอาไปพูดนั้น เป็นคำพูดติดปากของตน เช่น "ไฝ่ว ๆ" มาจากคำว่า ไฟท์ ที่แปลว่า สู้ หรือไม่ก็คำว่า "เฟี้ยว" ที่แปลว่า เจ๋ง และคำพูดทิ้งท้ายของตนที่ติดปากสุด ๆ อย่างคำว่า "เข้าใจป่ะ"
ต่อกันด้วยกรณีที่ เน วัดดาว ประกาศออกรายการโทรทัศน์ว่า ขอล้างมือจากการเป็นอันธพาลแล้วนั้น เน วัดดาว ทำได้อย่างที่พูดจริง ๆ หรือไม่ ด้าน เน วัดดาว กล่าวว่า ตั้งแต่มีเรื่องครั้งล่าสุดประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ตนก็ไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตนก็ไม่ใช่คนที่หาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว ซึ่งถ้ามีคนมาหาเรื่องจะให้ตนยกมือไหว้มันก็ไม่ใช่ ตอนนั้นมันขึ้นอยู่กับอารมณ์
"การมีเรื่องที่แรงที่สุด เป็นการฟันกัน แต่นานมากแล้ว ซึ่งตอนนั้นผมเกเรจริง แต่พอติดคุก เราก็มานั่งมอง นั่งรอวันออก มันไม่ใช่ที่เราต้องเสียเวลาทิ้งไปในคุกแบบนี้ ถ้าเราอยู่ข้างนอก เราก็หาเงินเข้าบ้านได้ สำหรับตนติดคุก 2 ปี ในคุกจะเรียกว่าคดีแก้บน เพราะส่วนมากเขาจะติดกัน 5-6 ปี ซึ่งในคุกนั้น สอนผมได้เยอะ แต่ก็แล้วแต่คนด้วย สำหรับผม.. ผมคิดว่าไม่เสพยาก็ไม่ตายนี่หว่า พอออกมาจากคุกก็เลิกเล่น ผมว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และความคิดของคน หากคิดว่าเลิกได้มันก็คือเลิกได้ ถ้าเลิกไม่ได้ก็เลิกไม่ได้" เน วัดดาว กล่าว
ต่อกันด้วยคำถามที่ว่า อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ เน วัดดาว ก้าวเข้าสู่เส้นทางอันธพาลอย่างเต็มตัว... เน วัดดาว เผยว่า ที่บ้านของตนนั้นไม่รวย เพราะต่างคนก็ต่างมีครอบครัว มีภาระกันหมด ตนกับเนยมีแค่สองคนพี่น้อง เลยต้องหาเงินเลี้ยงน้องสาวด้วย แต่จะให้ตนเรียนด้วยหาเงินให้น้องด้วยมันใช้ไม่พอ อีกอย่างตอนนั้นตนก็เริ่มเกเรแล้ว คิดว่าเรียนไปก็ไม่จบ เลยลาออกจากการเรียน ปวช. มาส่งน้องเรียนอย่างเต็มตัว ตอนนั้นตนไม่เคยโทษใคร ไม่โทษที่บ้าน เพราะไปโทษอะไรเขาไม่ได้ ต้องโทษตัวเองที่เลือกเดินทางนี้เอง สังคม และสิ่งแวดล้อมมันก็เกี่ยว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เวลามันก็เดินไปข้างหน้า ถ้ามามัวมองแต่ความผิด มันก็เดินต่อไปไม่ได้
สำหรับประเด็นคำถามเรื่อง แอล โอรส คู่อรินั้น เน วัดดาว กล่าวว่า ตอนนี้เขาเงียบ ๆ ไปแล้ว แต่ตนมั่นใจว่ายังไม่จบอย่างแน่นอน เพราะตนรู้จักเขาดี ซึ่งตนก็เคยบอกเขาแล้วว่าเจรจาปิดฉากเลยไหม แต่เขาไม่ยอมจบ
นอกจากนี้ เน วัดดาว ยังแสดงความคิดเห็นถึงวัยรุ่นปัจจุบันที่มีสภาพเป็นนักเลง-อันธพาล เช่นนี้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน ซึ่งจุดสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา มาจากคำว่า "โชว์" ล้วน ๆ เลย คือเขาต้องการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นที่ยอมรับ เพราะถ้าไม่มีเงิน ก็ต้องมีอำนาจ ต้องมีชื่อที่ติดหูในแวดวงนี้ให้ได้ อย่างตนเนี่ย มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ตนเคยเห็นเวลาเขาไปไหนมาไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ หรือเด็กของเขาไปมีเรื่องกับใคร ถ้ารู้ว่าเป็นเด็กของพี่คนนี้ ก็จะไม่กล้าทำอะไร ตนเลยอยากจะเป็นแบบพี่คนนี้บ้าง เลยพยายามสร้างชื่อของตนตลอดเวลา ซึ่งพอมองกลับไปมันเป็นความคิดที่ผิด ๆ จริง ๆ
ต่อกันด้วยคำถามว่า หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ควรจะช่วยเหลืออะไรตรงนี้ได้บ้าง ด้าน เน วัดดาว กล่าวว่า ควรจะลงมาดูเรื่องรายได้ของคนระดับล่าง ๆ บ้าง อย่างพี่บางคนตักปูนตากแดด ครอบครัวเขาก็มี เงินเขาก็น้อย ส่วนบางคนก็อยากรวยทางลัด เลยหันไปใช้วิธีขายยา ซึ่งมันได้เงินเร็ว แต่สุดท้ายก็จบลงที่คุก
พร้อมกันนี้ เน วัดดาว ยังเผยถึงกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เด็ก ๆ บางคนโตขึ้นอยากเป็นเหมือนเขาว่า มันไม่มีอะไรดีเลย มีแต่คุกล้วน ๆ และอยากจะบอกว่า ชีวิตวัยเรียนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว ซึ่งตนคอมเม้นท์ตอบน้อง ๆ แบบนี้ตลอด
ท้ายนี้ เน วัดดาว ได้ฝากไปยังเยาวชนทั้งหลายว่า "เป็นเยี่ยงกา อย่าเอาอย่างกา ผมจะสอนน้อง ๆ ในเฟซบุ๊กอย่างนี้ตลอด เป็นเยี่ยงกาก็คือเอาข้อดีของกามาใช้ เช่น กามันตื่นเช้า ก็เอาข้อดีของมันมา ส่วนอย่าเอาอย่างกา ก็คือกามันชอบลักขโมย เพราะฉะนั้น เอาแค่ส่วนดีของมันมาพอ ดูสิขนาดสัตว์ยังมีทั้งข้อดี และข้อเสียเลย เราก็ต้องเลือกในสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนมันไม่มีขาวสุด และดำสุด มันแล้วแต่คนจะมองตรงไหนมากกว่า"