วันที่ 13 มกราคม 2556 นายอานนท์ นำภา ทนายความนักโทษในเรือนจำของคนเสื้อแดงได้เผยแพร่จดหมายฉบับหนึ่ง ของผู้ต้องขังกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่มักถูกเรียกว่าคนเสื้อแดงรายหนึ่ง ข้อความในจดหมายบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ในเรือนจำ เมื่อวันหนึ่ง มีนักโทษชายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือที่ถูกเรียกว่าคนเสื้อเหลือง "ปรีชา ตรีจรูญ" ได้เข้ามาอยู่ในเรือนจำ
นายปรีชา ตรีจรูญ แนวร่วมพันธมิตรฯ ผู้ขับรถกะบะไล่ทับตำรวจบาดเจ็บสาหัสระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ลดโทษลงเหลือ จำคุก 34 ปี
ก้าวแรกของนายปรีชา ที่เข้ามาสู่เรือนจำ ได้รู้จักกับ "นักโทษเสื้อแดง" ซึ่งข้อความในจดหมายได้บอกเล่าถึงความโกรธแค้น ของนักโทษเสื้อแดง ที่มีต่อนักโทษพันธมิตรฯ แต่ที่สุดแล้ว "อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์" ในฐานะ "ผู้อาวุโส" ให้ข้อคิดแก่ทั้งสองฝ่าย จนทั้งสองฝ่ายต่างเข้าอกเข้าใจกัน และมองสถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ว่า "มันก้าวเดินมาขนาดนี้แล้วหรือ" ข้อความในจดหมายที่แสดงท้ายสุดนั้นได้ยืนยันว่า "การให้อภัยแก่กัน" นั้น จะเป็นหนทางแห่งความสงบของประเทศชาติและเป็นทางระงับความขัดแย้งทั้งปวงได้เป็นอย่างดี
............................
จดหมายมีเนื้อหา ดังนี้
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณอานนท์
นับเป็นของขวัญวันปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมเลยทีเดียว สำหรับการมาเยี่ยมของ อ.สมศักดิ์ที่ทำให้ผมอึ้ง และตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก คุณอานนท์เชื่อมั้ยว่าผมแทบพูดอะไรไม่ออกเลยในช่วงนาทีแรกที่ได้พบกัน ความรู้สึกนี้ มันครั้งที่ผมได้เจอ ป๊า ม๊า น้องเว็บเลย แต่สำหรับอ.สมศักดิ์ แล้วมันพิเศษตรงที่เรามิได้เป็นญาติกัน แต่ท่านก็มีน้ำใจมาให้ เช่นเดียวกับ อ.พวงทอง และเพื่อนๆที่มาเยี่ยมผมที่นี้ โดยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันเป็นความรู้สึกดีๆที่มิอาจลืม และผมจะจดจำไปจนวันตาย และนี่แหละถึงเรียกได้ว่า “ไม่ทอดทิ้งกัน”อย่างแท้จริง และผมอยากให้เพื่อนๆที่ถูกคุมขังอยู่เวลานี้ได้รับความรู้สึกที่เหมือนผมกันทุกๆคน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีกำลังใจกันต่อไป
ผมมีเรื่องที่ค้างอยู่ในปีเก่าอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากนำมาแชร์ให้คุณอานนท์ ที่น่าจะได้ข่าวตามสื่อบ้าง คือเรื่องพันธมิตร ที่โดนคดีขับรถเหยียบตำรวจ เมื่อปี 2551 และโดนตัดสินมา 34 ปี และเขาเข้ามาที่นี่ด้วย ผมได้รู้จักกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปเรือนจำคลองเปรม เนื่องจากอัตราโทษเกิน 15 ปี เขาคนนี้ชื่อ ปรีชา ตรีจรูญ
หลังจากมีข่าวนี้มา เราบางส่วนในนี้ ต่างซุบซิบกันว่า จะทำอะไรยังไงกับเขามั้ย เพื่อสั่งสอน แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น พวกเสื้อแดงบางส่วน(ส่วนน้อย) มีการแสดงออกถึงความเจ็บแค้น ต้องการข่มขู่ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะอ.สุรชัย และผมได้ช่วยกันทำความเข้าใจ ถึงความแตกต่างทางความคิด ต่างสี แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ผมกับอ.สุรชัย โดนพวกเราบางคน พูดจา ถากถาง แดกดันอยู่กันหลายครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ
ความจริงแล้ว ด้วยความยาวนานที่พวกเราอยู่กันมาในนี้ มันสามารถจะทำอะไรก็ได้ สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ แต่พวกเราเลือกที่จะเห็นใจกัน แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตาม
ผมนึกถึงตอนสภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมโดนรุมกระทืบในนี้แล้ว ผมไม่ยากให้เกิดกับใครอีก โดยเฉพาะคนที่ถูกคดีทางการเมืองอย่างพวกเรา
พี่ปรีชาเป็นคนตัวเล็กๆผอมๆ รูปร่างเล็กกว่าผมอีก อายุ 50 กว่าๆ ผมสีเทา คือขาวเกินครึ่งในสายตาผม เขาดูเหมือนผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ เราแทบไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นคนๆนี้ เช้าวันแรกที่เขาเข้ามา เขาดูกลัวมากๆ ต้นวรกฤต เชียงใหม่ 51 เป็นคนแนะนำให้เรารู้จัก ซึ่งผมก็บอกกับเขาตรงๆ ว่าเราเป็นเสื้อแดง เขาก็ยกมือไหว้เราด้วยความเกรงๆ ผมพาเขาไปพบกับ อ.สุรชัย ซึ่งก็ให้ความอุ่นใจกับเขาได้เยอะ เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน ความทุกข์กัน ในช่วงเวลา 3-4 วัน ก่อนที่เขาจะย้ายไปคลองเปรม จนทำให้รู้ว่า เขากับเราต่างก็เป็นเหยื่อทางการเมืองเหมือนกัน
ผมได้บอกเล่าเรื่องของพี่ปรีชาให้กับคนที่มาเยี่ยมให้ทราบ หลายคนทราบแล้วก็มีอาการโกรธแค้นและสมน้ำหน้า แสดงอาการสะใจ ได้อย่างชัดเจน
ผู้ต้องขังเสื้อแดงบางคน (ขอย้ำว่าบางคน) ก็พยายามให้คนเสื้อแดงบางคนในพวกเรา ทำการสั่งสอน ข่มขู่เขา อยู่ตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้
มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้นะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กันโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธแค้นแดง อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม
พี่ปรีชาอาจเป็นเพื่อนต่างสีที่วันนี้เขาได้รับกรรมกันไปแล้ว และที่ผ่านมาเขาเองก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขตลอด 3-4 ปี ที่เขาต่อสู้คดีข้างนอก เขาเองก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆเหมือนกัน จะเข้าออกจากบ้านก็ต้องระมัดระวัง เพราะมีคนไม่ชอบเขาอยู่เยอะเหมือนกัน อีกทั้งเขายังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียดวงตาข้างขวา ที่มีผลต่อการเดิน การหยิบจับสิ่งของ ที่แม้จะผ่านไปหลายปี เขาก็ยังต้องปรับตัวอยู่ 3ล้านบาท ที่เขาได้รับเยี่ยวยาจากการสูญเสียดวงตา เขาบอกว่ามันไม่คุ้มเลย ถ้าเลือกได้เขาขอมีอวัยวะครบจะดีกว่า
ผมนึกถึงเพื่อนๆอีกหลายๆคนที่เกี่ยวข้องกับคดี 112 โดยเฉพาะป้าอุ๊ หมี่สุริยันต์ และณัฐที่ทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตอย่างไม่ปกติ แม้เรื่องมันจะจบ หรือเขาพ้นโทษกันไปแล้ว
ป้าอุ๊ กับหลานๆ ยังมีคนคอยจ้องมองอยู่ จับผิดอยู่ เหมือนไม่ย่อมให้จบ ทั้งๆที่ครอบครัวนี้สูญเสียอากง ที่เกี่ยวข้องกับคดีไปกว่าปีแล้ว แต่คนที่คิดต่าง เขาไม่จบ จนวันนี้ป้าอุ๊และครอบครัวกำลังคิดที่จะย้ายไปอยู่กับญาติที่พอจะให้ความอุ่นใจและปลอดภัยกับเขาและหลานๆได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะจบปัญหาได้จริงๆหรือเปล่า หมี่เอง ทุกวันนี้ก็ยังกลับไปทำงานเย็บรองเท้าไม่ได้ เพราะยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาอยู่ จนผมเริ่งกังวลแล้วว่า ผมกับลูกจะอยู่กันยังไง ถ้าสักวันผมได้รับอิสระ และออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ผมจะอยู่ได้อย่างปกติเหมือนเดิมหรือเปล่า
เราทั้งสองฝ่าย มาไกลกันเกินไปแล้วจิงๆหรือมันกลับไปเหมือนก่อนไม่ได้แล้วจริงๆหรือ
เห็น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ก่อนปีใหม่ มีบางตอนที่ว่า “คนเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ถ้าแตกต่างกันอย่างฉันมิตร ประเทศชาติก็ไม่เสียหาย” ซึ่งผมเห็นด้วยมากๆ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้พวกเราทุกคน คิดหาทางออกให้ประเทศเราด้วยการคิดให้โอกาสกัน ให้อภัยกัน แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนดัดจริตก็ตาม แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศนี้ คนในประเทศนี้ อยู่กันอย่างสงบสุขต่อไปได้
วันที่พี่ปรีชา มีคำสั่งให้ย้ายไปคลองเปรม ผมออกไปเยี่ยมญาติ พร้อมอ.สุรชัย พี่ปรีชาจะเข้ามาลาผมและขอบคุณผมและอ.สุรชัยที่คอยช่วยเหลือ เขามาตลอด เขาเดินเข้ามาในห้องสมุดที่ปกติผมจะนั่งอยู่ในนี้ แล้วถามหาผม ปรากฏว่าเขาถูกพวกเราบางคนด่าท้อด้วยความโกรธแค้น
ผมได้จับมือรำลาเขาก่อนจะย้ายไปคลองเปรม ด้วยความรู้สึกดีต่อกัน โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก..
โชคดีปีใหม่ครับ หนุ่งแดงนนท์ -พ่อน้องเว็บ