อาโอกิงาฮาระ ป่าแห่งความตาย

 

คนเราล้วนเกิดมาพร้อมกับความหวงแหนในชีวิตของตน ทุกสัญชาตญาณที่ติดตัวมาล้วนมีไว้เพื่อความอยู่รอด หากพูดถึงเรื่องของ “การฆ่าตัวตาย” บางครั้งมันก็ฟังเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่อันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำยากมาก เพราะนอกจากความหวาดกลัวในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ยังมีเรื่องของความอาลัยอาวรณ์ต่อผู้คนและสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเราจะนึกถึงก่อนตายด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่คิดฆ่าตัวตายจะต้องเป็นผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ หรือไม่ก็สิ้นคิดจริง ๆ จึงจะทำได้สำเร็จ


แต่กล่าวกันว่า มีสถานที่บางแห่ง เป็นสถานที่อาถรรพ์และมีบรรยากาศเชิญชวนให้ผู้ที่ได้ไปสัมผัสมีความคิดอยากจะ“ฆ่าตัวตาย” แต่ในความเป็นจริงป่าแห่งนี้ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปสักเท่าไรนัก เว้นแต่ผู้ที่อยากตายเท่านั้น เพราะในแต่ละปีมีผู้คนเดินทางไปฆ่าตัวตายที่นั่นไม่ต่ำกว่า 100 คน ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกเขาจงใจไปฆ่าตัวตาย หรือการไปเยือนที่นั่นทำให้เกิดความรู้สึก “อยากตาย” กันแน่


ผู้ที่ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าแห่งนี้ น้อยคนนักที่จะกลับออกมา ฮายาโนะเชื่อว่าพวกเขาได้ตัดสินใจมาก่อนแล้วว่าจะจบชีวิตของตนเองลงที่นั่น บางคนที่ยังคงลังเลและต้องการเวลาตัดสินใจ พวกเขาจะใช้เชือกหรือเทปขึงไปตามทางเดินที่เขาเข้าไป เพื่อให้มั่นใจว่าหากเขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็จะสามารถเดินตามเชือกนั้นออกมาได้ หรืออาจหวังว่าจะมีคนตามไปพบเขาก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ ๆ ลงไป แต่ก็มีบางคนที่ดูคล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาฆ่าตัวตาย เช่น มีร่องรอยการตั้งเต้นท์ และทำอาหาร แต่แล้วพวกเขาก็จบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง


หนึ่งในสถานที่อาถรรพ์ซึ่งโด่งดังมากคือ “ป่าอาโอกิงาฮาระ (Aokigahara)” ตั้งอยู่บริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น ลักษณะเป็นป่าใหญ่และเป็นอุทยานอันสวยงาม เหมาะสำหรับการตั้งแคมป์ ปิคนิค หรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในวันหยุด 

จำนวนของผู้ที่มาฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้มีมากมายอย่างต่อเนื่องกันมายาวนานเสียจนต้องมีการห้ามเผยแพร่ข่าวทางสื่อต่าง ๆ เพราะเกรงว่าผู้คนจะพากันมาฆ่าตัวตายที่นี่ตามกระแสข่าว และจะยิ่งเป็นการเพิ่มอัตราการตายให้มากขึ้น เคยมีผู้สันนิษฐานว่า สาเหตุที่หลายคนเลือกมาตายที่นี่ อาจมาจากกระแสนิยมของนวนิยายเรื่องหนึ่งในปี ค.ศ.1960 ชื่อเรื่อง “ทะเลป่าสีดำ” ซึ่งตามเนื้อเรื่องนั้น พระเอกและนางเอกมาฆ่าตัวตายที่ป่าแห่งนี้ แต่จากข้อเท็จจริงระบุว่า การฆ่าตัวตายในป่านี้มีมานานแล้ว ก่อนที่นวนิยายเรื่องดังกล่าวจะถูกเขียนขึ้นเสียอีก


นายอาซูยะ ฮายาโนะ (Azusa Hayano) ผู้ศึกษาและดูแลผืนป่าแห่งนี้มานานกว่า 30 ปี มีความสนใจในปริศนาการฆ่าตัวตายนี้มาก ทุกวันนี้นอกจากเขาจะมีหน้าที่ดูแลป่าแล้ว เขายังมีหน้าที่ค้นหาศพ หากโชคดีก็อาจพบผู้ที่กำลังจะฆ่าตัวตายและมีโอกาสเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นให้เปลี่ยนใจแล้วออกจากป่าไปเสีย เขากล่าวว่า ในแต่ละปีเขาพบศพไม่ต่ำกว่าร้อยราย ศพส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะที่ผูกตัวติดกับต้นไม้ บ้างก็แขวนคอตาย บ้างก็นอนตายที่พื้นในลักษณะต่าง ๆ กัน เขาต้องทำใจให้ชินกับสภาพศพที่เปลือยเปล่าและเน่าเฟะ บางครั้งกว่าจะถูกค้นพบก็กลายเป็นกระดูกไปเสียแล้ว

นอกจากศพ ก็ยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ทรัพย์สินของผู้ตาย สาส์นลาตาย และเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ผู้ตายทำขึ้น 


หลายฝ่ายพยายามหาคำตอบว่าทำไมผู้คนจึงพร้อมใจกันมาตายที่นั่น มีการสันนิษฐานกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าป่าแห่งนี้เป็นป่าสมบูรณ์ที่ทำให้คนหลงทางได้ง่าย เมื่อเข้าไปแล้วไม่สามารถหาทางออกมาได้ บ้างก็ว่าเป็นกระแสนิยมที่ทำตาม ๆ กันเท่านั้นไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ฝ่ายนักจิตวิทยาก็ออกมาให้ความเห็นว่าคนเมืองในปัจจุบันมีปัญหาหลายอย่างอันเนื่องมาจากสังคมและเศรษฐกิจ พวกเขาจึงเลือกที่จะฆ่าตัวตายอย่างสงบในป่า

ป่าแห่งนี้ไม่ได้โด่งดังเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น คนทั่วโลกรับรู้เรื่องความประหลาดและน่าสะพรึงกลัวของมัน จนกระทั่ง เจนนิเฟอร์ เซนท์ส นักจิตวิทยา ร่วมกัน จอห์น เอล. สกิลล์ตัน ผู้ชื่นชอบในการบุกเบิก พร้อมกันทีมงานกลุ่มหนึ่งได้เดินทางไปยังป่าแห่งนี้เพื่อถ่ายทำสารคดีและพิสูจน์ความจริง ด้วยสมมติฐานที่ว่า “ผู้ที่เข้าไปในป่าอาโอกิงาฮาระ จะพบอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาอยากตาย”


เจนนิเฟอร์ เล่าว่า “ทันทีที่เดินเข้าไปในป่าตามลำพัง บรรยากาศนั้นเงียบและวังเวงมาก คุณอาจจะพบเศษซากของผู้ที่ฆ่าตัวตาย เช่น เศษเสื้อผ้า รองเท้า หรือข้อความที่จารึกอยู่บนต้นไม้ บางข้อความเป็นการสั่งเสีย บันทึกเวลาตาย รวมถึงระบายความทุกข์ แต่ที่แน่ ๆ ในป่าแห่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความรันทดสิ้นหวัง ว่างเปล่า และแน่นอนคุณจะคิดถึงความตาย ไม่แปลกถ้าอยู่ดี ๆ คุณจะอยากตายขึ้นมา"

ส่วนจอห์น  เล่าว่า “ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องมองผมอยู่ทุกที่ตลอดเวลา ยิ่งเดินลึกเข้าไปความเงียบยิ่งทำให้ผมประสาท บางอย่างทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาที่แย่มากในชีวิต เหมือนภาพนิมิตที่ผุดออกมาเรื่อย ๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า มันเป็นเหมือนสุสานที่เชื้อเชิญให้คุณทิ้งปัญหาทุกอย่างเสีย แล้วก้าวเข้าสู่ความตาย”


สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีใครอธิบายได้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับการที่ใครหลายคนพร้อมใจกันเลือกที่นี่เป็นจุดจบ อาถรรพ์ จิตวิทยา หรือปัญหาสังคม ไม่มีใครบอกได้ แต่ความจริงที่ปรากฏมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานคือ ผู้ที่ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าแห่งนี้...พวกเขาอาจจะไม่ออกมาอีกเลย

Credit: Dominic
15 ม.ค. 56 เวลา 20:38 4,071 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...