ถูกต้องแล้วที่การพบระหว่าง ผบ.เหล่าทัพ และผบ.ตร.กับนายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล ได้ตกผลึกออกมาเป็นความคิดที่จะจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง
ทำงานเพื่อรับมือกับเรื่อง "เขาพระวิหาร" โดยเฉพาะ
ถูกต้องเพราะว่ากรณีเขาพระวิหารมากด้วยความละเอียดอ่อนต่อเนื่องจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
เป็นความละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์กับกัมพูชา
เป็นความละเอียดอ่อนอันมิได้สัมพันธ์กับรัฐบาลไม่ว่าโดยพรรคพลังประชาชน ไม่ว่าโดยพรรคประชาธิปัตย์ หากแต่สัมพันธ์กับกลไกอำนาจรัฐทางกองทัพอย่างเป็นพิเศษ
การเกาะเกี่ยวกับ "กองทัพ" เกาะเกี่ยวกับ "ทหาร" จึงมีความจำเป็น
ความห่วงใยของนายกรัฐมนตรีที่ส่งผ่านไปยัง ผบ.เหล่าทัพ และผบ.ตร.ในห้วงแห่งการอวยพรปีใหม่จึงเกิดขึ้นในจังหวัดอันเหมาะสมและถูกต้อง
เพราะในที่สุดแล้วรัฐบาลต้องอาศัยกลไกของกองทัพมาให้ความช่วยเหลือ
ที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ การตอบคำถามต่อสังคม ทั้งต่อภาคประชาชน และต่อแต่ละพลังทางการเมืองที่ให้ความสนใจในเรื่องละเอียดอ่อนนี้
จังหวะก้าว "เขาพระวิหาร" จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างสูง
ประเด็นแรกที่ "คณะทำงาน" อันประกอบส่วนจากกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ จักต้องขบคิดและตีให้แตกคือ
รากฐาน หรือ มูลเชื้อ อันกลายเป็นปัญหา
หากไปสอบถามจากฝ่ายการเมือง คำตอบอันเป็นความเคยชินถ้ามาจากพรรคเพื่อไทยก็ต้องโทษพรรคประชาธิปัตย์ ถ้ามาจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องโทษพรรคเพื่อไทย
จากพรรคเพื่อไทยโยงไปยังพรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทย
แต่ความเป็นจริงที่หลายคนไม่น่าจะลืมก็คือ ต้องย้อนไปยังรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และอุบัติแห่งแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา อันเกี่ยวกับกัมพูชาจะนำเอาปราสาทพระวิหารไปจดทะเบียนเป็นมรดกโลก
ต้องถามตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ หากสะสางรายละเอียดของเรื่องนี้ไม่กระจ่างก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะกระจ่างในคำตอบอันได้มา
ยอมรับหรือไม่ว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ยอมรับหรือไม่ว่ามีพื้นที่ทับซ้อนอันยังไม่สามารถตกลงกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็วและถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และในยุคแห่งโลกาภิวัตน์เช่นนี้จะบริหารจัดการอย่างไรกับพื้นที่ทับซ้อนนั้นๆ
ที่เป็นปัญหานับแต่เดือนมิถุนายน 2551 เป็นต้นมาก็จากความเห็น "ต่าง" ในเรื่องนี้
ความเห็น "ต่าง" นี้ได้ขยายและบานปลายออกไปเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2551
ลองย้อนกลับไปดูสถานการณ์ตลอดปี 2552 ดูว่าเป็นอย่างไร
การปะทะขัดแย้งทางความคิดขยายกลายเป็นปัญหาทางการเมือง และที่สุดนำไปสู่การสาดกระสุนเข้าใส่กัน
เรื่องพัฒนาจาก "ทวิภาคี" เป็น "พหุภาคี"
ไม่เพียงแต่มีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หากมติของที่ประชุมยังมอบหมายให้องค์การอาเซียนเป็นเจ้าภาพในการคลี่คลายปัญหา
และเมื่อมิอาจยุติได้ในระดับทวิภาคีเรื่องก็เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
เท่ากับย้อนกลับไปสู่เส้นทางเดิมเหมือนกับยุคของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อีกครั้งหนึ่งนั่นก็คือ การทบทวนและตีความคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ อันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ละเอียดอ่อนกระทั่งต้องมี "คณะทำงาน" เพื่อเตรียมรับมือโดยตรง
ไม่ว่ารัฐบาล ไม่ว่าหน่วยงานอันเกี่ยวกับความมั่นคง ไม่ว่าพรรคการเมือง ล้วนต้องมีการทบทวนและสรุปบทเรียนอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
หาสัจจะจากความจริงให้จงได้
จึงถูกต้องแล้วที่รัฐบาลและกองทัพเห็นตรงกันเรื่องการจะจัดตั้ง "คณะทำงาน" ต่อ เขาพระวิหาร
1 ศึกษาข้อมูลความเป็นจริงของปัญหาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อย่างเป็นภววิสัย 1 ทำความเข้าใจและให้คำตอบกับประชาชนอย่างเป็นระบบและอย่างมีการตระเตรียม
อย่างน้อยก็เพื่อมิให้ทำความผิดพลาดซ้ำเป็นคำรบ 2