จีนแห่ตามรอยหนัง'ลอสต์อินไทยแลนด์'

 

 

 

 

จีนแห่ตามรอยหนัง'ลอสต์อินไทยแลนด์'

 

 

ชาวจีนแห่จองทัวร์เที่ยวไทย ตามรอยหนังดังแห่งปี 'ลอสต์ อิน ไทยแลนด์' จนที่พักในเชียงใหม่ ถูกจองเต็มเกือบหมดในช่วงปีใหม่ ขณะที่ช่วงตรุษจีน ถูกจองแล้วกว่า50%

 

                          30 ธ.ค. 55  ภาพยนตร์แนวตลก/ผจญภัย ของจีนแผ่นดินใหญ่เรื่อง ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ ( Lost in Thailand ) ที่ถ่ายทำในประเทศไทยเกือบทั้งเรื่อง และเป็นผลงานการกำกับของนักแสดงตลกชื่อดัง " สวี่ เจิง " ที่เคยฝากผลงานหนังตลกเสียดสี ที่ได้รับการกล่าวขวัญจากเรื่อง ลอสต์ ออน เจอร์นี่ย์ (Lost on Journey) ยังคงโกยรายได้ไม่หยุด หลังทุบสถิติภาพยนตร์ที่เปิดตัวสูงสุดประจำเดือนธันวาคม เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดจากการฉายวันเดียวตลอดกาลในจีน โค่นรายได้ที่ ทรานสฟอร์เมอร์ 3 ( Transformer 3 ) ทำไว้ในจีน ไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

                          โดย ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ สามารถกวาดรายได้จากการฉาย 8 วัน ไปถึง 450 ล้านหยวน (ราว 2,166 ล้านบาท) จากทุนสร้างที่ต่ำเพียง 30 ล้านหยวน (ราว 150 ล้านบาท) และสร้างสถิติทำรายได้สูงสุดวันเดียวตลอดกาลเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ถึง 100 ล้านหยวน (ราว 500 ล้านบาท)

 

 

 

 ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ เป็นภาพยนตร์ตลกแนว โร้ด มูฟวี่ และเป็นภาคต่อของ ลอสต์ ออน เจอร์นีย์ ที่ออกฉายเมื่อปี 2553 นอกจากจะกำกับการแสดงแล้ว สวี่ เจิง ยังนำแสดงเองอีกด้วย เนื้อหาของภาพยนตร์ เล่าถึงคู่แข่งทางธุรกิจในบริษัทหนึ่ง 'ซู (Zu)' ที่รับบทโดย 'สวี่ เจิง' ได้แข่งขันกับ 'โบ (Bo)' เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ ตามหาตัวเจ้านาย เพื่อให้เซ็นเอกสารที่จะกำหนดชะตาทางการเงินของพวกเขา 'ซู' นั่งเครื่องบินมาลงที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะรู้ว่า 'โบ' แอบสะกดรอยตามเขามา โดยใช้สัญญาณโทรศัพท์ ดังนั้น 'ซู' จึงเปลี่ยนกระเป๋ากับ 'หวัง' ชายที่นั่งข้างๆ เขาบนเครื่องบิน ต่อมา 'หวัง' ได้รู้ว่าถูกสลับกระเป๋า จึงออกตามหา 'ซู' เพื่อเอากระเป๋าคืน แต่ปรากฏว่าของสำคัญของทั้งคู่หายไป นั่นคือ พาสปอร์ตของซู และเงินของหวัง ทั้งคู่ไม่มีทางเลือกจึงต้องเป็นเพื่อนร่วมทางกันนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ขณะที่ในระหว่างการเดินทาง ทั้งคู่ได้พบเห็นศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามของไทย ผ่านการผจญภัยมากมาย ทั้งคู่ได้ล่วงรู้ความลับซึ่งกันและกัน นำมาซึ่งการตั้งคำถามสำคัญว่า "อะไรคือสิ่งที่ชีวิตควรให้ความสำคัญก่อน..."

                          ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกระแสโซเชียล เน็ตเวิร์ก ของจีน ที่มีการบอกต่อกันว่า เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาด เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด อาทิ เรื่องสาวประเภทสองของไทย ที่ถ้าผู้หญิงไทยคนไหนสวย ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นสาวประเภทสอง (จริงหรือนี่...) การนวดแผนโบราณที่ในสายตาของชาวต่างชาติแล้วน่าจะเจ็บปวดมากกว่าสบายตัว อีกทั้งมี 'ความลงตัว' เพราะหนังวางสัดส่วนระหว่างคอมเมดี้และดราม่า ออกมาได้อย่างพอดี ผสมผสานความฮาจากอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการไม่เข้าในภาษา วัฒนธรรม โดนทำร้าย ถูกเข้าใจผิด เดินทางอย่างลำบาก และสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำมีความสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายของวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัด ความงดงามของวัดวาอาราม ประเพณีไทยที่ดีงามอย่างสงกรานต์ และความสวยงามของการปล่อยโคมลอยยามค่ำคืนทำให้หลายคนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ อยากเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย โดยเฉพาะเชียงใหม่ ที่ถูกใช้เป็นโลเกชั่นหลักของเรื่องนี้ เพื่อสัมผัสบรรยากาศตามภาพยนตร์ ทั้งการปล่อยโคมลอย นั่งรถตุ๊กตุ๊ก สปาไทย และชมการแสดงของช้าง จนกลายเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวของจีน ที่จัดโปรแกรมทัวร์เที่ยวไทยตามรอยภาพยนตร์ ซึ่งนทท.ชาวจีนเลือกที่จะเดินทางมาเที่ยวช่วงวันหยุดยาวคริสต์มาสจนถึงปีใหม่ทำให้ที่พักในจังหวัด เชียงใหม่ ถูกจองเต็มเกือบทั้งหมด ขณะที่นทท.บางคนวางแผนจะมาเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีน

                          ทั้งนี้สถิติจากเว็บไซต์ท่องเที่ยวใหญ่ของจีน พบว่าเดือน ธ.ค. จำนวนนทท.ที่จะเดินทางมาเที่ยวไทย ทั้งแบบคณะทัวร์ และเดินทางท่องเที่ยวส่วนตัว สูงถึงเกือบ 1 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะถึงนี้ ก็ถูกจองไปแล้วกว่าร้อยละ 50 ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวในเดือน ธ.ค. จังหวัดเชียงใหม่มีนทท.เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ และโรงแรมระดับ 5 ดาวถูกจองแทบไม่เหลือ

 

Credit: http://rss.thaibizcenter.com/newscategory.asp?catid=27
31 ธ.ค. 55 เวลา 15:43 6,743 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...