เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ศาลาการเปรียญวัดทับปรูพัฒนาราม ต.ทับหมัน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเดินทางไปนมัสการสรีระสังขารหลวงพ่อประสิทธิ์ อุฎฐายี อดีตเจ้าคณะตำบลวังสำโรง และอดีตเจ้าอาวาสวัดทับปรูพัฒนาราม ซึ่งมรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2552 สิริอายุรวม 80 ปี ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์ได้เก็บรักษาสรีระสังขารไว้นานกว่า 3 ปี กระทั่งเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้เคลื่อนสรีระสังขารของหลวงพ่อประสิทธิ์ไปประกอบพิธีฌาปนกิจที่บริเวณฌาปณสถานของวัดทับปรู ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศจำนวนหลายพันคนเดินทางมาร่วมพิธี
ปรากฏว่าระหว่างพิธีประชุมเพลิง เจ้าหน้าที่วัดพยายามจุดไฟ แต่จุดเท่าไหร่ไฟก็ไม่ยอมลุกไหม้โลงที่บรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่อ ไฟลุกไหม้เฉพาะดอกไม้จันทน์ที่มีพุทธศาสนิกชนนำไปวางบนเชิงตะกอนจนหมด คณะสงฆ์รวมถึงคณะศิษยานุศิษย์จึงมีความเห็นร่วมกันให้เคลื่อนย้ายโลงออกจากเชิงตะกอนนำขึ้นไปยังบนศาลาการเปรียญ พร้อมกับเคลื่อนย้ายสรีระสังขารของหลวงพ่อไปบรรจุในโลงแก้วใสเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้นมัสการ
ด้านนายต่อศักดิ์ กุลนานันท์ ส.อบจ.ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ตนมาร่วมพิธีเผาสรีระหลวงพ่อประสิทธิ์ มีการจุดไฟถึง 3 ครั้ง แต่ไฟไหม้แต่ดอกไม้จัน ส่วนโลงและสรีระหลวงพ่อประสิทธิ์ไม่ยอมไหม้ น่าแปลกใจมาก ไม่ใช่แต่ตน ประชาชนที่มาร่วมพิธีก็แปลกใจ ทุกคนเชื่อว่าเป็นปาฎิหาริย์ของหลวงพ่อ
สำหรับหลวงพ่อประสิทธิ์ อุฎฐายี อดีตเจ้าคณะตำบลวังสำโรงทับปรู เป็นพระนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัดในหลักคำสอนพระพุทธศาสนา อุปสมบทตั้งแต่อายุ 20 ปี และศึกษาธรรมะเรื่อยมาจนสอบเลื่อนชั้นเป็นเจ้าคณะตำบล มีลูกศิษย์หลากหลายอาชีพเคารพเลื่อมใสนับถือศรัทธา การมรณภาพนำซึ่งความโศกเศร้าเสียใจของพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นการสูญเสียของวงการพระสงฆ์ครั้งสำคัญ และเมื่อนำไปประกอบพิธีฌาปนกิจแต่ไฟไม่ลุกไหม้โลงที่บรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่อ ทำให้เจ้าอาวาสวัดทับปรูและคณะศิษย์มีความเห็นร่วมกันว่า จะไม่ประกอบพิธีฌาปนกิจอีกแล้ว แต่จะเก็บรักษาสรีระสังขารของหลวงพ่อประสิทธิ์ไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มานมัสการขอพรตลอดไป