ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ทหารญี่ปุ่นบนเกาะลูบังติดเกาะ30ปี
ตามที่เราๆท่านๆทราบกันดี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นสามารถยึดประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ได้เกือบทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือฟิลิปปินส์ และบนหมู่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง ชื่อว่าเกาะลูบัง (Lubang) ได้มีทหารญี่ปุ่นประจำการอยู่กองหนึ่ง โดยมี พันโทโยชิมา ตานาคูชิ เป็นผู้บังคับบัญชา เวลานั้นคือช่วงปลายสงคราม กองทัพญี่ปุ่นหลายกองพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ถึงกระนั้นทหารญี่ปุ่นก็ยังคงทำการรบอย่างทรหดต่อไป เนื่องจากทุกคนเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วญี่ปุ่นจะเป็นผู้ชนะ
ร้อยโทฮิรุ โอโนดะ คือหนึ่งในทหารที่ประจำอยู่บนเกาะลูบัง เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1944 (ก่อนมาเป็นทหารเขาเคยเป็นชาวนามาก่อน) ได้รับคำสั่งจากพันโทโยชิมา ตานาคูชิ ให้นำทหารอีก 3 นาย ไปปฏิบัติภารกิจสอดแนมข้าศึกในป่า ร้อยโทโอโนดะ จึงคัดเลือกทหารอีก 3 นาย ประกอบไปด้วย ยูอิจิ อาคาซึ (Yuichi Akatsu) สิบโทไซโอชิ ชิมาดะ (Siochi Shimada) และคินซิชิ โคซูกะ (Kinshichi Kozuka) เข้าร่วมในภารกิจนี้
ขณะที่ทหารทั้ง 4 ออกปฏิบัติภารกิจอยู่นั้น อเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ทำให้ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ในที่สุด จักรพรรดิฮิโรฮิโตจึงออกพระราชโองการให้กองทัพญี่ปุ่นทุกกองวางอาวุธและถอน กำลังออกจากจุดประจำการทุกแห่ง พันโทโยชิมา จึงออกคำสั่งให้ถอนกำลังออกจากเกาะลูบังและเตรียมตัวกลับประเทศอย่างเร่ง ด่วน
แต่พันโทโยชิมา ทำผิดพลาดเรื่องหนึ่งคือ เขาไม่ได้ส่งข่าวหรือทิ้งข้อความใดๆให้ร้อยโทโอโนดะและพวกรู้ว่าสงครามสงบ แล้ว ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ และมีคำสั่งให้ทหารทุกคนถอนกำลังกลับประเทศ ทำให้เมื่อร้อยโทโอโนดะกลับมายังที่ตั้งกองทหารและไม่พบใคร จึงเข้าใจว่าทหารฝ่ายศัตรูได้เข้าโจมตีพรรคพวกจนต้องถอยหนีออกจากเกาะ เขาและพรรคพวกจึงตัดสินใจกลับเข้าป่า เพื่อทำการสู้รบต่อไป
ร้อยโทโอโนดะและพรรคพวกไม่รู้เลยว่าสงครามจบลงแล้ว และไม่มีใครออกตามหาพวกเขาเนื่องจากเข้าใจว่าทั้งหมดเสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจ
ชีวิตในป่ายากลำบากมาก พวกเขาต้องอาศัยนอนในถ้ำ หาของป่าตามมีตามเกิด และบางครั้งต้องขโมยอาหารจากชาวบ้าน แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังเชื่อว่าสงครามกำลังดำเนินอยู่และญี่ปุ่นจะเป็นฝ่าย ชนะ.
จนกระทั่งเดือนตุลาคม 1945 ได้มีเครื่องบินทิ้งใบปลิวบนเกาะ แจ้งว่าสงครามโลกยุติแล้ว และญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ ร้อยโทโอโนดะไม่เชื่อ และเข้าใจว่าเป็นแผนการหลอกให้พวกเขาออกไปติดกับ ทั้งหมดจึงยังคงปักหลักอยู่ในป่าต่อไป
หลายปีผ่านไป ร้อยโทโอโนดะและพวกก็ยังคงหลบซ่อนอยู่ในป่า และต่อสู้กับศัตรูอย่างไม่ยอมแพ้ (ศัตรูที่ว่าคือชาวบ้านที่ไปหาของป่า) หลายครั้งที่ทหารกลุ่มนี้ออกลาดตระเวน แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ นอกจากชาวบ้านที่กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่กระนั้นพวกเขาก็ปักใจเชื่อว่าศัตรูยึดเกาะลูบังได้แล้ว จึงตัดสินใจหลบอยู่ในป่าลึกตามเดิม
การ ดำเนินชีวิตในป่าบนเกาะลูบังของร้อยโทฮีรุ โอโนดะ และทหารหนึ่งหมวดของเขา เป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องอาศัยถ้ำเป็นที่พัก และหาอาหารจากป่ามาประทังชีวิตไปวันต่อวัน แต่ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ก็ไม่คิดยอมแพ้แล้วนำทหารออกมาจากป่ามามอบตัวกับศัตรูอย่างเด็ดขาด เขาเชื่อว่าสงครามยังไม่ยุติจึงหลบซ่อนอยู่ในป่าและเตรียมพร้อมต่อสู้อย่าง ถวายชีวิตเรื่อยมา กลายเป็นทหารญี่ปุ่นหน่วยสุดท้ายที่ตกค้างอยู่ในป่าบนเกาะลูบัง ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นก็ไม่รู้และคิดว่าทหารหน่วยนี้คงเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติ ภารกิจไปหมดแล้ว เวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปี...และหลายปีต่อมา...ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ กับทหารของเขาก็ยังหลบซ่อนอยู่ในป่าและพร้อมจะต่อสู้กับฝ่ายศัตรูโดยไม่ยอม แพ้อย่างเด็ดขาด มีหลายครั้งที่ทหารญี่ปุ่นกลุ่มนี้แอบออกมาลาดตระเวนดูที่ตั้งกองทหารของพวก เขาแต่ไม่พบเห็นอะไรเลย นอกจากชาวบ้านซึ่งกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิม กระนั้นทหารญี่ปุ่นก็คิดว่าฝ่ายข้าศึกได้ยึดครองพื้นที่ไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงถอยกลับเข้าไปอยู่กลางป่าลึกเหมือนเดิม
เวลาผ่านไป จากหลายปีเป็นสิบปี และจำนวนปีก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทหารในหน่วยของร้อยโทฮีรุ โอโนดะ เสียชีวิตไปทีละคนสองคนจากความเจ็บไข้ได้ป่วยและไม่มียารักษาโรค ทหารที่เหลือก็อยู่กันอย่างฝากชีวิตไว้กับชะตากรรม แต่ยึดมั่นในปณิธานจะไม่ยอมแพ้แก่ทหารศัตรูอย่างเด็ดขาดโดยไม่รู้ว่าสงคราม ได้ยุติไปนานแสนนานแล้วและโลกภายนอกได้เปลียนแปลงไปมากแล้ว
จนในปี 1952 ได้มีเครื่องบินทิ้งจดหมายและประกาศลงบนเกาะ บอกให้ทหารญี่ปุ่นที่เหลือทราบว่าสงครามจบลงแล้ว และแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ (8 ปีแล้วนะนั่น)
ในปี 1953 ก็ได้มีประกาศออกมาอีก และทหารทั้งหมดก็ไม่เชื่ออีก
ในปีเดียวกันนั้นเอง ชิมาดะ ถูกชาวบ้านยิงเข้าที่ขาและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ปี 1954 อาคาซึถูกกลุ่มนักสำรวจที่ออกค้นหาทหารญี่ปุ่นที่เหลืออยู่ยิงตาย (น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิด)
19 ตุลาคม 1972 โคซูกะ ทหารคนสุดท้ายภายใต้การบังคับบัญชาของร้อยโทฮีรุ โอโนดะ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2515 ขณะลักลอบเข้ามาหาอาหารในหมู่บ้านชายป่า แล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์ยิงตาย เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้าย เพราะทหารญี่ปุ่นคนนั้นใช้อาวุธปืนประจำการยิงเข้าใส่ก่อน
คราวนี้ก็เหลือร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ดำรงชีวิตอยุ่ในป่าเพียงลำพังคนเดียว
บัดนี้เหลือเพียงแค่ร้อยโทโอโนดะคนเดียว แต่กระนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนข่าวลือเรื่องทหารคนสุดท้ายไปถึงหูทางการญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงพยายามแจ้งข่าวให้เขารู้ว่าสงครามจบลงนานแล้ว ออกมาได้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อ(เหยดดด) และเชื่อว่าศัตรูปล่อยข่าวลือเพื่อที่จะจับตัวเขาล่ะสิ แม้ว่าทางการญี่ปุ่นจะนำพระราชโองการจากสมเด็จพระจักรพรรดิไปติดไว้จนทั่ว ป่า และหวังว่าร้อยโทโอโนดะจะเชื่อและยอมออกมา เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีและคิดว่าราชโองการเป็นของปลอม
จน กระทั่งวันหนึ่ง นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้พบกับร้อยโทโอโนดะด้วยความบังเอิญ ทั้งคู่คุยกันถูกคอและทำให้เขาได้รู้ความจริงว่าสงครามจบไปนานแล้ว (เค้าก็พยายามจะบอกอยู่หลายปีแล้ว) และทางการญี่ปุ่นอยากให้เขาออกมาปรากฎตัวซะที แต่กระนั้นร้อยโทโอโนดะก็ยังแคลงใจไม่หาย และบอกให้นำผู้บังคับบัญชา พันโทโยชิมา มายืนยันด้วยตัวเอง
แม้ จะเหลืออยู่อย่างโดดเดี่ยวเขาก็ยังไม่ยอมวางอาวุธ ไม่ท้อแท้หมดกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อสู้ต่อไปอีก ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ยังคงดำรงชีวิตอยู่ในป่าด้วยสำนึกแห่งการเป็นทหารครบถ้วน เมื่อเขาได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติภารกิจและไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เขาก็ยังยึดถือคำสั่งนั้นอย่างแน่วแน่ ในที่สุดข่าวมีทหาญี่ปุ่นวึ่งไม่รู้ว่าสงครามโลกได้ยุติไปนานแล้วยังปัหหลัก อยู่ในป่าบนเกาะลูบังเพียงคนเดียว ก็ทราบไปถึงทางการญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามหาทางแจ้งข้อเท๊จจริงให้ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ รู้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากนายทหารผู้นี้คิดว่าเป็นกลอุบายของข้าศึกที่จะหลอกจับตัวเขา แม้จะนำพระราชโองการของพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตนำไปติดไว้ทุกหนทุกแห่งในป่า ด้วยหวังว่าร้อยโทฮิรุ โอโนดะ มาพบเข้าจะยอมวางอาวุธแล้วออกมาปรากฏตัว แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้ผลอีก เพราะร้อยโทฮิรุ โอโนดะ ไม่เชื่อว่าประกาศพระราชโองการนั้นเป็นความจริง
ทาง การญี่ปุ่นพยายามติดต่อพันโทโยชิมาจนพบ และส่งเขาพร้อมคณะผู้ติดตามไปพบร้อยโทโอโนดะ พันโทโยชิมาจึงยืนยันกับเขาว่าสงครามจบลงแล้ว (จริงๆนะ) และออกคำสั่งให้เขาวางอาวุธ (ได้แล้ว) นายทหารผู้เคร่งครัดในหน้าที่จึงได้ฤกษ์ออกจากป่าในวันที่ 10 มีนาคม 1974 หลังจากที่ประจำการหลังสงครามเลิกตั้ง 30 ปี
ร้อย โทโอโนดะที่ยอมจำนนหลังจากรบอย่างโดดเดี่ยวมาถึง 30 ปี สิ่งที่เหลือติดตัวมีเพียงเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า ปืนเล็กยาวพร้อมกระสุน และดาบซามูไรอีกเล่มเดียวเท่านั้น
การกลับคืนสู่ประเทศของทหารใจเพชรผู้นี้ ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่าวีรบุรุษ มารดาวัย 88 ของร้อยโทโอโนดะ ผู้ที่เคยเชื่อว่าลูกชายได้ตายไปแล้วและไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทุกปี กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า "การอบรมเขาตามแบบคนญี่ปุ่น ทำให้เขาเป็นทหารที่มีวินัย มีความจงรักภักดีต่อชาติสูงสุด และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 30 ปี เขาก็ยังยึดถือคำสั่งอย่างแน่วแน่"
ปัจจุบันร้อยโทโอโนดะเป็นเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งในบราซิล และเมื่อมีเวลาว่างเขาจะกลับไปบริจาคเงินให้กับโรงเรียนที่เกาะลูบังอยู่เสมอ
ฉากกลับถึงญี่ปุ่นตอนท้ายๆน้ำตาไหลแทนเลยครับ
http://www.facebook.com/warofhistory