ทำไมต้องชื่อ “ไส้กรอกเยอรมัน”

ไส้กรอก หรือ Sausage มีมาตั้งแต่สมัยยุคกรีกโบราณ เป็นกรรมวิธีในการถนอมอาหารรูปแบบหนึ่งค่ะ ที่ใช้ในสมัยที่ยังไม่มีกระแสไฟฟ้าและตู้เย็น คนในยุคนั้นต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้รับประทานให้ได้หลายๆ วัน จึงหมักเนื้อสัตว์เข้ากับเกลือแล้วยัดใส่ในไส้หมูและไส้แกะ สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ต่อมาจึงมีการพัฒนารสชาติและเครื่องเทศไปตามแต่ละท้องถิ่น ในประเทศแถบยุโรปจะนิยมรับประทานไส้กรอกกันมาก โดยเฉพาะเยอรมนีซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ประชาชนภาคภูมิใจในสูตรและวิธีทำไส้กรอกของตนเอง จนสามารถนำชื่อเมืองตั้งเป็นชื่อไส้กรอกเลยล่ะ

ไส้กรอกเยอรมัน ในภาพรวมจะมีความ Meaty อยู่ ซึ่งก็หมายถึงมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ในปริมาณมากและเป็นเนื้อสัตว์คุณภาพดี มีเครื่องเทศธรรมชาติหลายรสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านการรมควัน และ มีขนาดใหญ่

คุณภาพของไส้กรอกเยอรมัน

สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ โดยพิจารณาจากวัตถุดิบ เนื้อสัตว์ และไส้ (หรือ Casing หรือวัสดุที่ใช้หุ้มเนื้อสัตว์) รวมทั้งเครื่องเทศที่ผสมเข้า โดยมีการแบ่งเกรดของไส้กรอก ดังนี้

1.เกรดที่ 1 “Sausages”
เป็นไส้กรอกทั่วๆ ไปที่ประยุกต์ให้มีรสชาติและรูปร่างเหมือนไส้กรอกเยอรมัน แต่มีเนื้อสัตว์น้อย เวลารับประทานจะไม่รู้รสชาติของเนื้อสัตว์นัก ปรุงรสด้วยสารเคมี หรือใช้โปรตีนสังเคราะห์ และนำไปใส่สี รวมไปถึงการผสมแป้งและไขมันปริมาณมาก ใช้ไส้พลาสติกห่อหุ้ม

2.เกรดที่ 2 “German Sausages”
เป็นไส้กรอกสูตรต้นตำรับของประเทศเยอรมนี มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์มากกว่าเกรด Sausages ไส้ที่ใช้เป็นไส้ธรรมชาติ หรือไส้โปรตีนสังเคราะห์ นำมาปรุงรสด้วยสมุนไพร ที่หารับประทานได้ทั่วไปในประเทศเยอรมนี

3.เกรดที่ 3 “Premium German Sausages”
เป็นไส้กรอกที่ผลิตจากเนื้อสัตว์ที่ผ่านการคัดเกรดและคัดชิ้นส่วนคุณภาพสูง มีไขมันบ้างเล็กน้อยเพื่อความนุ่ม ไส้ที่ใช้จะเป็นไส้ที่มาจากธรรมชาติ เช่น ไส้แกะ ไส้หมู ไส้วัว เป็นต้น จากนั้นจึงปรุงรสด้วยสมุนไพรสดตามธรรมชาติ สามารถหารับประทานได้เฉพาะบางท้องถิ่นในเยอรมนีเท่านั้น

ที่มีคนกล่าวไว้ว่า “การกินไส้กรอกคุณภาพจึงเหมือนการกินสเต๊กชั้นดี” เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงแล้ว