เมื่อ 30 พ.ย. นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ลงมติรับรองการเลื่อนสถานะให้กับปาเลสไตน์จากเดิมที่เป็น "องค์กรผู้สังเกตการณ์" ในยูเอ็นเปลี่ยนเป็น "รัฐสังเกตการณ์" โดยมีประเทศที่สนับสนุน 138 ประเทศรวมถึงไทย และมีเพียง 9 ประเทศที่คัดค้าน อาทิ สหรัฐ อิลราเอล สาธารณรัฐเช็ก แคนาดา หมู่เกาะมาร์แชล และปานามา ส่วนประเทศที่งดออกเสียงมี 41 ประเทศ รวมถึงอังกฤษ และเยอรมนี ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์ราว 2,000 คนในกรุงรามัลเลาะห์ เขตเวสต์แบงก์โบกธงชาติและร้องรำทำเพลงกลางถนนด้วยความยินดี
ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์กล่าวในนิวยอร์กก่อนลงมติว่า เมื่อ 65 ปีก่อน สมัชชาใหญ่ยอมรับมาตรการซึ่งแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ออกเป็น 2 รัฐ พร้อมทั้งรับรองสถานะประเทศให้อิสราเอล วันนี้ถึงเวลาของการรับรองการมีอยู่ของรัฐปาเลสไตน์ และนี่คือหนทางสุดท้ายที่จะรักษาการแก้ปัญหาระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลเอาไว้ได้ แต่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวว่ามติดังกล่าวไร้ความหมาย และคำกล่าวของนายอับบาสไม่ใช่คำพูดของคนที่ต้องการสันติภาพ ส่วนทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น กล่าวว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้กระบวนการประชาธิปไตยถอยหลัง
สถานะใหม่จะเพิ่มอำนาจต่อรองให้ปาเลสไตน์ในการเจรจาเรื่องกรรมสิทธิ์ฉนวนกาซ่ากับอิสราเอลบนเวทีระหว่างประเทศ ทั้งประเด็นการตั้งรกราก และช่วยเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์ ซึ่งถูกเพิกเฉยนับแต่การสู้รบระหว่างขบวนการฮามาสในฉนวนกาซ่ากับอิสราเอล 8 วัน
ทั้งนี้ ขบวนการฮามาสในฉนวนกาซ่าแม้จะยอมรับการนำเรื่องรับรองสถานะรัฐเข้าสู่ที่ประชุมยูเอ็น แต่ไม่พอใจคำกล่าวของนายอับบาสที่พูดถึงอิสราเอล เนื่องจากฮามาสไม่ยอมรับการมีตัวตนของอิสราเอล