โลกแห่งเรื่องเหลือเชื่อ แต่จริง
ในโลกใบนี้คุณเชื่อหรือไม่ว่า ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆอีกมากมายที่ไม่ว่าจะหาคำตอบโดยระบบวีธีทางตรรกะหรือว่าทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง โดยมีประจักพยานแทบทุกเรื่อง รวมทั้งการอ้างอิงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ด้วย
โอเอซิสกลางมหาสมุทร
กัปตัน นีล เคอร์รี่ พร้อมด้วยภริยาและลูกอีกสองคน รวมทั้งลูกเรืออีก 32 ชีวิต ได้นำเรือ ลารา ของเคอร์รี่ ออกจากท่าในเมือง ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2424 เพื่อไปยังซานฟรานซิสโก และระหว่างการเดินทางได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เรือขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องสละเรือ ขณะที่เรือลำดังกล่าวกำลังลอยอยู่ในฝั่งทะเลตะวันตกของ เม็กซิโก เรือช่วยชีวิตขนาดเล็กจำนวน 3 ลำ ล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก โดยไม่ได้เห็นผืนแผ่นดิน หรือเรือลำอื่น ๆ ผ่านเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
แต่ในไม่ช้า ด้วยความอ่อนเพลียและหิวกระหาย ลูกเรือทั้งหมดก็เริ่มหมดสติ และปล่อยให้เรือล่องลอยไปในกระแสน้ำในมหาสมุทรต่อไป และในคืนวันหนึ่ง ขณะที่ เคอร์รี่ กำลังหลับใหลไม่ได้สติอยู่นั้น เขาฝันว่าน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว เขาลองชิมน้ำนั้นดู ก็ปรากฏว่าเป็นน้ำที่ดื่มได้ และเมื่อตื่นขึ้นมา เคอร์รี่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีแหล่งน้ำจืดอยู่รอบ ๆ เรือลำเล็กของเขา และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ เคอร์รี่ และลูกเรือทั้งหมด สามารถมีชีวิตอยู่ในเรือชูชีพขนาดเล็กกลางมหาสมุทรเป็นเวลานานถึง 23 วันได้ จนเรือพาไปถึงฝั่งเม็กซิโก นั่นเป็นเพราะน้ำบริสุทธิ์ใสสะอาดที่ เคอร์รี่ ค้นพบอย่างบังเอิญกลางมหาสมุทร
สมองที่สร้างความฉงนให้แพทย์
สมอง เป็นอวัยวะส่วนที่สร้างความฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างมากแก่คณะแพทย์ และวงการแพทย์ว่ามันทำงานอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม บรรดานายแพทย์ต่างก็ให้ความสำคัญกับอวัยวะส่วนนี้ของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมากดังจะเห็นได้จากความพยายามที่จะให้สมองได้รับความกระทบกระเทือนน้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างที่เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของสมองในตัวมนุษย์มาเสนอ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2422 คนงานหญิงในโรงสีแห่งหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากการที่เครื่องจักรมีคมในโรงสีแทงเข้าที่กะโหลกศีรษะ และเมื่อหมอนำเอาชิ้นส่วนของเครื่องจักรนั้นออกจากศีรษะของเธอ ปรากฏว่าเธอมีอาการดีขึ้นตามลำดับ และหายเป็นปกติในไม่ช้า และมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 42 ปี โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด แม้แต่ปวดศีรษะจากอุบัติเหตุรุนแรงครั้งนั้น นอกจากนี้จากบทความใน วารสารทางการแพทย์ ของนิวยอร์กตะวันตก ( The Medical Press of Western Newyork) เกี่ยวกับกะโหลกศีรษะของชายคนหนึ่งที่ถูกทำลาย เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างข้างบนของเรือลำที่เขาทำงานอยู่หล่นใส่ลงมาแฉลบถากศีรษะของเขา บรรดานายแพทย์ที่ตรวจสอบผู้บาดเจ็บอย่างใกล้ชิดพบว่า ชายผู้นี้ได้สูญเสียสมองในส่วนสำคัยบางส่วนไป แต่ในระยะเวลาไม่นานต่อมา เขาก็รู้สึกตัว เขาสามารถพูดคุยได้ตามปกติ และแต่งตัวเองได้ แม้จะมีอาการมึนงงอยู่บ้างเล็กน้อย และอีก 26 ปีต่อมา ร่างกายบางส่วนจึงเป็นอัมพาต
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีเด็กทารกเกิดใหม่ในโรงพยาบาล เซนต์ วินเซนต์ ในนิวยอร์ก ซิตี้ เมื่อปี พ.ศ. 2478 ที่เกิดมาได้ เพียง 27 วัน โดยที่ร้องอยากกินอาหารได้ ทั้งยังเคลื่อนไหวได้เหมือนเด็กเกิดใหม่ทั่วไป ก่อนหน้าที่เขาจะตายลงไป ซึ่งหมอก็ได้ตรวจพบจากการผ่าศพ และพบว่าเด็กคนนั้น ไม่มีสมองอยู่เลย
ความน่าฉงนของสัญลักษณ์ "สวัสติกะ"
สวัสติกะ (Swastika) ในช่วงสมัยใหม่ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความชั่วร้าย แต่ตามการบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส 2 คน ระบุว่า สัญลักษณ์ของนาซี อาจจะมีความหมายที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่หลายคนคิด เมื่อนักฟิสิกซ์ ชื่อ เจ.ซี.แรนซัม และ ฮันส์ ชลูเตอร์ ได้ขับก๊าซไฮโดรเจนออกไปสู่ไฟฟ้า และแม่เหล็ก ก๊าซไฮโดรเจนเริ่มส่องแสงสว่างและทันใดนั้นเอง ก๊าซก็แยกตัวออกมา เพื่อรวมตัวกันเป็นเงาของสวัสติกะ ซึ่งการทดลองดังกล่าวทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัยว่านั่นคือ ดาวหางดวงหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในสนามแม่เหล็กของพื้นโลก และอาจจะประกอบกันขึ้นมาในลักษณะที่คล้ายกับเครื่องหมายดังกล่าว
และเมื่อเป็นเช่นนั้น สวัสติกะจึงปรากฏเป็นครั้งแรกต่อหน้ามนุษย์ ในฐานะ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น แต่บรรดานักสังเกตการณ์ที่รู้สึกตกใจกลัวกับปรากฎการณ์เช่นนี้ให้เหตุผลว่า การเกิดสวัสติกะเป็นสัญญาณเหนือธรรมชาติ ซึ่งพวกเขาได้สรุปให้ฟังว่า เพราะเหตุใดสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายสมัยใหม่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่เคารพยำเกรงของพวกฮินดู และผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ เช่น มีการแกะสลักรูปสวัสติกะไว้บนหลุมฝังศพของคนโบราณใกล้กับเมืองทรอย หรือแม้แต่ชาวคริสเตียนเองยังได้วาดรูปสัญลักษณ์นี้ขึ้นมา ในฐานะเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างยุคกลางด้วย
ดาวเคราะห์ปริศนา
เด็กนักเรียนทุก ๆ คนพากันคิดว่า ระบบสุริยจักรวาล ของเรามีดาวเคราะห์ทั้งหมด 9 ดวง (รวม พลูโตด้วยนะ) แต่ทว่า เมื่อเวลาหลายร้อยปีที่ผ่่านมาปรากฏว่ามีดาวเคราะห์มากกว่านี้ จากการยืนยันของบรรดานักดาราศาสตร์บอกว่าเป็นเช่นนั้น โดยยืนยันว่ามีถึง 10 ดวงด้วยกัน การสังเกตทางวิทยาศาสตร์ได้เริ่อมขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2402 เมื่อนายแพทย์ชาวฝรั่งเศษ และนักดูดาวสมัครเล่นผู้หนึ่ง นามว่า ลีแวร์โบลต์ ได้เริ่มสังเกตวัตถุที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งบางครั้งดูเหมือนวัตถุนั้นจะโคจรอยู่ใกล้ ดวงอาทิตย์ มากกว่า ดาวพุธ
และเมื่อบรรดานักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นพบว่า เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ซึ่ง ลีแวร์โบลต์ ติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถุชนิดนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาตามตำแหน่งของดาวเคราะห์ดวงนั้น พร้อมทั้งบันทึกสิ่งที่เห็นไว้ในกระดาษ ต้นสน เมื่อนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศษ นามว่า อูร์แบง ณอง เลอแวร์ริเอร์ ได้ทำการศึกษาบันทึกของ ลีแวร์โบลต์ เขาเห็นด้วยว่ามีดาวเคราะห์ดวงอื่นใกล้ดวงอาทิตย์จริง ๆ พร้อมทั้งเรียกชื่อของมันว่า วูลคอง และตามการบอกเล่าของเลอแวร์ริเอร์ การปรากฏตัวของวูลคอง นั้นอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดดาวพุธจึงเคลื่อนตัวเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทุก ๆ ปี เป็นระยะทาง 1 เมตร ซึ่ง เลอแวร์ริเอร์ ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะแรงดึงดูดของ วูลคอง ที่ดึงดาวพุธเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทุก ๆ ปี แต่ทว่า ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นดาวเคราะห์ที่ชื่อ วูลคอง อีกเลย และไม่มีใครเชื่อว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นมีอยู่จริง