ออสเตรเลีย มักมีเรื่องเล่าที่แปลกประหลาดอยู่เสมอและหนึ่งในนั้นก็ต้องมีตำนานเรื่องตำนาน เกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกกันว่า บันยิพ (Bunyip) รวมอยู่ด้วยเช่นกัน...
สำหรับ เรื่องสัตว์ประหลาดหรือเจ้าตัวประหลาดนี้นั้นก็เป็นตำนานหรือเรื่องเล่าที่ ยังคงกล่าวขาน และมีรายงานการกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ของชาวเผ่าพื้นเมืองอะบอริจินส์ของ ออสเตรเลียโน่นแน่ะครับ (ปัจจุบันก็ยังพบอยู่)
ตำนาน
ตาม เรื่องตำนานได้เล่ากล่าวเอาไว้ว่าบันยิพ มีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิ ไคน์ ปราตี โววีโววี ทูนาทาบา ดองกัส และอื่นๆ อีกหลายชื่อ นอกจากนี้ชื่อยังแตกต่างกันมากกว่านี้อีก แถมมันยังเผ่าพันธุ์หลายเผ่าพันธุ์กระจายตามภูมิประเทศอีกหลายพันธุ์ บางพันธุ์หน้าแบนเหมือนสุนัขบูลด็อกและหางเหมือนปลา บางพันธุ์คอยาวและมีงอยปากเหมือนนกอีมูแถมมีขนแผงคอที่ห้อยย้อยลงมาเหมือนงู ทะเล แบบเหมือนคนก็มีเพียงแต่รูปร่างน่ากลัว
ว่ากันว่าคนที่เห็นบันยิพส่วนมากมักตาย เพราะถูกมันฆ่า!!
มี เรื่องเล่ากันว่าบันยิพเป็นจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ พอนานวันเข้าเลยกลายมาเป็นสัตว์ประหลาดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มีนิสัยขี้โมโห มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่เรียกได้ว่าดุร้ายเอาการทีเดียว ถ้าหากมีผู้ใดหรือใครบุกรุกหรือล่วงล้ำถิ่นที่อยู่ของมันแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม เบาะๆ ก็โดนทำร้ายครับ แต่ถ้าแย่หน่อยก็จะโดนมันพาลากเอาลงน้ำไปเลย...และที่สำคัญมันชอบกินคนซะ ด้วยสิ โดยเฉพาะชาวพื้นเมืองอะบอริจิ้นก็กลัวมันมักกลัวมันหนาเพราะพวกผู้หญิงและ เด็กมักหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยสันนิษฐานว่า ถูก บันยิพรากไปกิน..
แม้ จะมีผู้พรรณนารูปร่างบันยิพแตกต่างกันมากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่บันยิพเหมือนกันคือ มันจะร้องเสียงเดียวกันทั่วออสเตรเลีย เป็นเสียงคำรานดังก้อนสะท้อนกลับในบึงไม้โกงกาง ในแผ่นดินริมแม่น้ำ บ่อน้ำ เสียงของมันจะได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้นระหว่างฝนตกละหลังฝนหายใหม่ๆ และจะหายไปในระหว่างหน้าร้อนเมื่อถ้ำของมันแห้งผาก เชื่อกันว่ามันคงหมกตัวอยู่ในโคลนลึก รอถึงฤดูฝนที่มาถึง
ไม่ ใช่แต่เพียงชาวพื้นเมืองที่มีเรื่องเล่าขานถึงเรื่องของบันยิพเท่านั้นนะ ครับ พวกคนขาวที่ไปตั้งรกรากทีหลังอยู่ที่นั่นก็มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเจ้าบัน ยิพนี่อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของรายละเอียดจะแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเองแต่ก็เล่าขาน กันเป็นในแนวสัตว์ประหลาดที่เฝ้าหนองบึง ผืนน้ำอยู่นั่นเอง...แต่ที่สำคัญมันกินเนื้อคนขาวด้วย
เรื่องจริง
รู้ไหมบันยิพก็ถือเป็นสัตว์เร้นลับเหมือนกัน!!
มีรายงานการพบเห็นบันยิพนั้นไล่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 แน่ะครับ หลายสถานที่ หลายแห่ง
ในออสเตรเลีย แต่ปีที่มีการรายงานเกี่ยวกับบันยิพมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในช่วงปี ค.ศ.1820-1845 ครับ เรียกได้ว่ายุคทองของเรื่องบันยิพเลยทีเดียว
ส่วนรูปร่างที่เห็นเหรอ เหมือนในตำนานเปี๊ยบ คือมีหลายรูปร่างแหละ.......คือ มี 4 ขา และแต่ละขามี 3 เล็บ ขนาดลำตัวใหญ่ ที่ตัวด้านหน้ามีเกล็ดปกคลุมไปจนถึงครึ่งของหลังและแผ่นหลังก็ปกคลุมด้วยขน ไปตลอดจนถึงหาง หน้าตาออกจะคล้ายสุนัข บ้างก็ว่าเหมือนหมู มีหางคล้ายตัวบีเวอร์ ขนาดความยาวตลอดตัวราว 10-12 ฟุต แต่ส่วนใหญ่ออกไปทางไดโนเสาร์หรือสัตว์เลื้อยคลาน
ในช่วงปี ค.ศ.1800 นั้นเคยมีรายงานการพบซากกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับที่ เมืองกีลอง(Geelong) รัฐวิคตอเรีย (Victoria) ของ ออสเตรเลีย โดยรูปร่างกระดูกจะคล้ายกับฮิปโปโปเตมัส แต่แน่นอนครับว่าพอพิสูจน์แล้วไม่ใช่ ก็เลยมีการสันนิษฐานกันไปว่ามันอาจจะเป็นซากกระดูกของบันยิพก็ได้ ว่ากันไปนั่นเลยทีเดียวเชียว
ต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1845 ก็ มีการขุดค้นพบโครงกระดูกสัตว์ยักษ์ปริศนาอีกเช่นกันครับ ซึ่งลักษณะของกระดูกที่ขุดพบครั้งนี้นั้นรูปร่างคล้ายกับจระเข้ผสมกับนก รูปร่างของโครงกระดูกจระเข้ขณะยืน 2 ขาและตัวพองๆ แบบนกดู นั่นละครับใช่เลย ซึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกีลองได้เคยลงเรื่องและรูปวาดของบันยิพเอาไว้และเอามาตีพิมพ์ใหม่
ปี1872 บัน ยิพกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่รัฐเซาท์เวลส์ หนังสือพิมพ์วักก้า วักก้าแอ็ดเวอร์ไทเซอร์รายงานข่าวว่าสุภาพบุรษท่านหนึ่งได้เฝ้าดูสัตว์ตัว นั้นอย่างเงียบๆ.....
“หลาย วันมานับตั้งแต่ มร.เอ ผู้ที่ต้อนแกะข้ามรัฐไปยังเมลเบิร์น ได้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่ริมลากูน เขาได้แวะมาหาข้าพเจ้าที่บ้านและถามว่าสัตว์ที่อยู่ในบึงของเรานั้นมันเป็น ตัวอะไร เขาอธิบายว่ามีตัวอะไรบางอย่างอยู่ในบึงที่ทำให้ตัวเขาและคนงานเลี้ยงแกะของ เขาต้องตกใจกลัว ข้าพเจ้าอดขำเรื่องที่เขาบอกไม่ได้ และนี่ทำให้เขาโกรธถึงกับเชิญข้าพเจ้าให้ไปที่นั่นแล้วไปดูให้เห็นกับตา ข้าพเจ้าจึงไปที่นั่นในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นระหว่างหกถึงเจ็ดนาฬิกา มีคนอื่นตามไปด้วยสองคน คอยอยู่ไม่นานข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนตัวอะไรสักอย่างฝ่าน้ำมาอย่างรวด เร็ว จนทำให้เกิดเสียงดังพอๆ กับเสียงแล่นเรือกลไฟของนอร์ชอร์ เมื่อมองไปทางที่เกิดเสียงนั้นข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวหนึ่งกำลังมุดน้ำตรงเข้า มาหาพวกเราด้วยความเร็วสูง
เรา ยืนตัวแข็งด้วยความทึ่ง และเฝ้าดูการเข้ามาของสัตว์ตัวนั้น ซึ่งเราคิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องโผล่มาบนผิวน้ำ เพราะมันคงไม่รู้ว่ามีพวกเราแถวนั้น มันยังคงเข้ามาด้วยความเร็วสูงมาก จนกระทั้งมาอยู่ห่างจากขอบลากูนไม่เกิน 30 หลา มันก็หยุดกะทันหันและโผล่พรวดขึ้นมาให้เราเห็นอย่างรวดเร็ว
มัน ลอยตัวอยู่ในน้ำแล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้มองเห็นสัตว์ตัวนี้อย่างชัดเจน สัตว์ที่ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต สัตว์ตัวนี้ยาวเป็นสองเท่าของสุนัขพันธุ์รีทรีฟเวอร์ทั่วๆ ไป ขนตามตัวเป็นเงาสีดำเสนิท และยาวมากลอยแผ่ไปตามผิวน้ำราวห้านิ้ว กระเพื่อมขึ้นลงตามผิวน้ำราวห้านิ้ว กระเพื่อมขึ้นลงตามอาการเคลื่อนไหวของตัวมันเอง ข้าพเจ้ามองไม่เห็นลูกตาของมัน ส่วนหูนั้นเห็นได้ชัด
มัน ไม่ทำเสียงใดๆ ออกมา แต่มันก็เฝ้าดูเราราวครึ่งชั่วโมง นานเข้ามันก็หัวกลับมาอย่างเงียบๆ และว่ายออกไปอย่างช้าๆ ไม่แสดงอาการตกใจใดๆ และเราก็เฝ้าดูมันเคลื่อนที่ตามสบายไปตามผิวหน้าของทะเลสาบไกลจนลับสายตา เราตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของมันมาก และข้าพเจ้าได้ตั้งรางวัลไว้ 20 ปอนด์ สำหรับตัวที่ตายแล้ว และ 50 ปอนด์ ถ้าจับมันได้ตัวเป็นๆ”
ปี ต่อมา หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ลงเรื่องสัตว์ลึกลับตัวนี้ อีกว่าพนักงานรังวัดหลายคนในเรือที่ลอยลำอยู่ในทะเลสาบโควอลซึ่งเป็นทะเลสาบ เล็กๆ ยาวราว 30 ก.ม.และกว้างราว 10 ก.ม. พวกเขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ห่างจากเรือของพวกเขาออกไปราว 150 เมตร ซึ่งพวกเขาบอกว่ามีลักษณะเหมือน “พวกเพื่อนผิวดำแก่ๆที่มีผมดำยาว”กำลังว่ายน้ำเป็นเส้นตรงแน่ว แล้วทุกระยะ 6-8 ม. ก็โผล่ออกมาและก็ดำกลับไปใหม่ เหมือนกำลังหาปลาอยู่
ปี 1876 หนังสือดิอะบอริจินออฟวิคตอเรีย ตีพิมพ์ว่ามีคนเห็นบันยิพที่อ่างเก็บน้ำโคลิบันว่า
“พัน ตรีคุชแมน หัวหน้าพนักงานสำรวจแร่ บอกว่าเขาและมร. เวนเดอร์ ได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งเหมือนสุนัขชอบน้ำ กำลังว่ายอยู่ในอ่างเก็บน้ำมาล์มสบิวรี มันตัวใหญ่และสีเข้มมาก เขาเฝ้ามองสัตว์ตัวนี้อยู่สักครู่ แล้วมันก็ดำหายไป จึงรู้ว่ามันรูปร่างมันไม่ใช้สัตว์ที่เรารู้จัก หัวของมันเหมือนแมวน้ำจืด(Fresh Water Seal)!??
มร.ดาร์ซี่(Mr.D arcy) อาชีพครู ชอบยิงนกเป็ดน้ำมาก ได้เล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเมื่อปี 1872 ว่า ครั้งหนึ่งเขาไปเที่ยวยิงนกเป็ดน้ำชุมและเขายิงไปหลายตัวที่เดียว แต่ทว่ากระแสน้ำได้พัดพามันออกนอกทะเลสาบ พอดีมีผู้ชายคนหนึ่งเอาเรือท้องแบนบรรทุกเกวียนขับผ่านมา
“ผม บอกเขาถ้าเขาออกไปเก็บเป็ดน้ำให้ ผมจะแบ่งเขาให้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ตกลงทำตาม แต่ขณะที่ผมดูเขาอยู่นั้นผมก็ได้ยินเขาตกใจ พร้อมกันนั้นเรือเขาก็พลิกคว่ำลง และเขารีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง พอมาถึงเขาแทบยืนไม่ไหว และบอกผมว่าพอเขากำลังเก็บเป็ดตัวสุดท้าย ก็มีสัตว์รูปร่างคล้ายพันธุ์รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่หัวกลมแต่ไม่มีหู โผล่ออกมาเกือบจะติดเรือเขา เขาตกใจมากจนทำให้เรือคว่ำ”
ที่รัฐวิคตอเรียนี่อีกเหมือนกัน เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธุ์ 1890 ได้มีข่าวลือถึงสัตว์รูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งอาจเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็ได้อาศัยอยู่บึงใกล้ๆ ตำบลยูโรอา ดังนั้น ในวันศุกร์ที่ 21 เดือน เดียวกันพวกเจ้าหน้าที่สวนสัตว์นครเมลเบิร์นกับช่างภาพสมัครเล่นก็ไปช่วยกัน ลงอสนในบึงแห่งนั้น พวกเขาขึงตาข่ายขวางบึงแล้วช่วยกันใช้ไม้ตีตะล่อมไประยะ แต่ปรากฏวี่แววของสัตว์สัตว์นั้น มันหนีไปได้ ทิ้งแต่รอยเท้าไว้ที่ในพงอ้อริมบึง
ปี 1927 จอห์น เกล ซึ่งตอนนี้อายุ 95(คงตายแล้วมั้ง) ฟื้นความหลังให้นายร้อยเอกแซมเซาท์เวลล์ เพื่อนของเขา ว่า “ตัว ข้าพเจ้าเมื่อครั้งที่ไปยิงนกเป็ดน้ำอยู่แถวริมแม่น้ำควีนเบยัน ก็เคยเห็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งหน้า รูปร่างคล้ายสุนัข ตัวใหญ่ อยู่ห่างจากข้าพเจ้าราวร้อยหลา ซึ่งดูเหมือนว่ามันเห็นข้าพเจ้า มันทิ้งตัวลงใต้น้ำ แล้วข้าพเจ้าไม่เห็นมันอีกเลย และมีหลายคนบอกว่าเห็นตัวมันที่แม่น้ำสายเดียวกันนี้แถวใกล้ๆ เมือง”
ปี 1856 อี. เจ.ดันน์ เล่าเรื่องที่ประสบตอนที่ไปตั้งแคมป์พักริมแม่น้ำเมอร์รุมบิดจีแถวกุนดาไก เขาและพรรคพวกได้ยินเสียงมันร้องเหมือนวัว และเห็นบันยิพฝูงหนึ่งกำลังว่ายทวนน้ำซึ่งตอนนั้นท่วมล้นตลิ่ง ชายคนหนึ่งจึงยิงมันด้วยปืนลูกปลาย ส่วนเด็กๆ พยายามวางเบ็ดล่อ แต่ไม่มีใครได้ตัวมันสักตัว
“รำลึก ว่า สัตว์พวกนี้มีหัวกลม กับไม่มีหู เห็นแต่ลูกตา ขนสีเข้ม ความยาวของสัตว์พวกนี้ราวห้าฟุต ขณะที่ว่ายน้ำอยู่หัวและส่วนหลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ตอนนั้นผมไม่เคยเห็นแมวน้ำมาก่อน ตอนหลังจึงได้เห็นหลายครั้ง ผมเลยคิดว่าสัตว์พวกที่ผมเห็นวันนั้นอาจเป็นแมวน้ำ แต่ระยะทางแม่น้ำเมอร์เรย์กับแม่น้ำรุมบิดจีต่อกันจนมาถึงกุนดาไกก็ราวๆ 2000 ไมล์จากทะเล”
แม้ว่าปกติแมวน้ำจะเป็นสัตว์ทะเล แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มันว่ายมาที่แม่น้ำเป็นระไกลที่เดียว เมื่อปี 1850 ก็มีคนเคยยิงแมวน้ำที่โคนาร์โกในรัฐนิวเซาว์เวลส์ ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลถึง 1500 กม. ในปี 1890 มีคนเห็นแมวน้ำที่โอเวอร์แลนด์คอร์เนอร์ มันว่ายตามแม่น้ำเมอร์เรย์ในระยะทางถึง 400 กิโลเมตร และในช่วงปี 1930 ก็พบตัวหนึ่งที่บึงชายแม่น้ำเมอร์เรย์ระหว่างเมืองเรนมาร์คกับล็อกซ์ตัน ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลถึง 400 กม.
ที่ น่าสังเกตคือ ไม่เคยมีการปรากฏภาพเขียนของบันยิพในศิลปะอะบอริจิน ซึ่งนี้หมายความว่าบันยิพไม่ใช้สัตว์ที่พวกเขาสมมุติขึ้นตามคติความเชื่อ หากแต่เป็นสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เพียงแต่มันอาจดุร้ายน่ากลัวจนพวกเขาไม่อยากเข้าไปใกล้เลยไม่รู้แน่ชัดว่า มันมีรูปร่างอย่างไรจึงเขียนไม่ถูก แต่จะว่าไม่เคยมีเลยนั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะครั้งหนึ่งเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 นี้ เองสัตว์ตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกฆ่าตายที่ริมฝั่งลำน้ำแฟรี่คร็ก ใกล้ๆ เมืองอรารัตในรับวิคตอเรีย และเพื่อไว้แสดงให้ลูกหลานรู้สึกความกล้าหาญของพวกตน คนพื้นเมืองเผ่าจับวูรองที่ฆ่าสัตว์ตัวนั้น ก็ขุดร่องตื้นๆ ไปรอบร่างสัตว์ที่ตายนอนอยู่บนพื้น แล้วพวกเขาก็คอยหมั่นถอนหญ้ามิให้ขึ้นมาคลุมภาพที่เป็นรอยลึกอยู่บนพื้นดิน นั้น เมื่อปี 1840 ตอนที่เปิดสถานีรถไฟชาลลิคัมซึ่งอยู่ห่างจากที่ตรงนั้นไปหนึ่งกิโล ภาพนั้นยังคงอยู่ที่นั้น และคงอย่อีกราวปี 1870 แต่ หลังจากนั้นชนเผ่าจับวูรองก็หมดสนใจ ไม่รักษา ปล่อยให้วัชพืชปกคลุม จนภาพสูญหายไปในที่สุด แต่กระนั้น มร.ไอ. ดับบลิว, สก็อต ผู้ดูแลสถานีรถไฟชาลลิคัมก็ได้สเก็ตภาพนี้ไว้
ปี 1971 แจ๊ค อีแวนส์ ได้พบบันยิพที่บึงใหญ่ห่างจากเมืองลิสมอร์ของนิวเซาท์เวลส์ไปทางเหนือ 32 กม. สัตว์ตัวนั้น “ตัวยาวหลายฟุต มีหัวคล้ายสุนัข หูเล็กและแนบกับหัว ผมเห็นมันจับหงส์ไปกิน”
นักสัตว์ลึกลับวิทยาก็หาตัวมันเหมือนกันใน ดร.ลุควิก ไลซ์ฮาดต์ เคยเดินทางไปทวีปออสเตเรียมาแล้ว ท่านเชื่อว่าบันยีพน่าจะเป็นโปรโตดอนที่หลงเหลืออยู่ เมื่อปี 1847 ท่านจึงนำคณะค้าหาสัตว์ชนิดนี้ไปถึงใจกลางของทวีป ข่าวออกมาบอกว่าท่านไปถึงแม่น้ำโคกุน เมื่อวันที่ 3 เมษายน 1848 แล้วจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านและคณะอีกเลย
มันคือตัวอะไร?
มี ทฤษฏีหลากหลายที่ว่าบันยิพเป็นตัวอะไร ก็มีหลากหลายนะ แต่ส่วนมากเน้นสัตว์ดึกดำบรรพ์มากกว่า เมื่อดูก็รู้เลยว่าทำไมหลายคนถึงพรรณนารูปร่างของบันยิพแตกต่างกันออกไป เพราะมันพรรณนาไม่ออกน่ะสิ แหม ขนาดสัตว์ที่คาดว่าเป็นบันยิพก็รูปร่าง ลักษณะแปลกดีแท้ๆ ไม่แปลกสักนิดที่จะมีคนพรรณนาต่างกันออกไป แถมมองเห็นตัวมันไม่ชัดเจนอีก
แมวน้ำ
สัตว์ ธรรมดาที่เห็นทั่วไปแถวออสเตรเลีย ส่วนใหญ่คนที่เห็นบันยิพเหมือนแมวน้ำ แต่ติดปัญหาคือชาวอะบอริจินรู้จักแมวน้ำเป็นอย่างดี ผิดกับคนขาว จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะจำแมวน้ำกับบันยิพผิด
ปลาติปุส
สัตว์ หายาก(หรือเปล่า) ออกมาหากินตอนใกล้รุ่งและตอนพลบค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่าเห็นบันยิพ เพียงแต่เจ้าปลาติปุสนี้ตัวมันเล็กไปหน่อย แต่บางที่อาจเป็นเพราะการหักเหของแสงทำให้ปลาติปุสตัวโตผิดปกติก็เป็นไปได้
ปาลอร์เคสตีส(palorchestes)
เป็น สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่หลายคนคิดว่ามันคือบันยีพ ปาลอร์เคสตีสเป็นสัตว์โบราณคราวเดียวกับไดโปรโตดอน ตัวโตขนาดวัว หัวมีรูปร่างประหลาด เท้าหน้ามีเล็กแหลมคมและมีพละกำลังอาจจะสร้างความน่าสะพลึงกลัวให้กับอะบอริ จินที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ และลเขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นตำนานบันยิพไป
สัตว์กระเป๋า Marsupial
กิลเบิร์ต วิทเลย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตเลียเสนอทฤษฎีที่แปลกไป บอกว่าบันยีพคือสัตว์กระเป๋าที่คล้ายนาคสูญพันธุ์ไปแล้ว
ไดโปรโทดอน (Diprotodon)
มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าบันยิพมันเคยมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนแต่มันน่าจะเป็นตัว ไดโปรโทดอน (Diprotodon) หรือสัตว์ที่อยู่ในตระกูลจิงโจ้ขนาดใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในออสเตรเลีย ในสมัยบรรพกาลเมื่อประมาณ 20,000 กว่าปีมาแล้ว
ได โปรโทดอน เป็นสัตว์โบราณที่หน้าตาแปลกชอบอาศัยอยู่ริมบึงและพึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อราว สองหมื่นปีมานี้อีก(ไม่นานเนอะ) หลังจากที่ดินฟ้าอากาศของออสเตเลียเกิดการเปลี่ยนแปลงจนชุ่มชื่นกลายเป็น แห้งแล้ง ที่ลุ่มหนองบึงเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าและทะเลทราย เมื่อขาดอาหารพวกมันเลยสูญพันธุ์ไป
ซึ่งบางทีเจ้าไดโปรโทดอนนี่อาจจะมีชีวิตเหลือรอดมาจนถึงทุกยุค 80 ในตอนนั้นเลยทำให้กลายมาเป็นต้นตำนานของสัตว์ประหลาดบันยิพในตอนนี้ และมันอาจหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้
เรื่องโม้
บาง คนก็เชื่อว่าเรื่องเล่าของบันยิพเนี่ยเหลวไหล เป็นเพียงเรื่องเล่าในจินตนาการ เป็นเพียงเรื่องเล่ารอบกองไฟที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นหรือจากนิทานก่อน นอนเท่านั้นครับ สัตว์ประหลาดที่เล่าๆ กันมาน่ะ ไม่มีตัวตนจริงหรอก นิทานก็เป็นนิทาน ตำนานก็เป็นตำนาน จะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง เพราะยังไม่เคยมีใครจับตัวมันได้หรือมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนเลย เจ้าตัวที่เล่าต่อกันมาน่ะ บางทีอาจจะเป็นแค่จระเข้น้ำเค็มตัวใหญ่หรือไม่ก็แค่ฮิปโปโปเตมัสเท่านั้นเอง
ดูเหมือนว่าการจับบันยิพเป็นๆ ได้จะเป็นการเฉลยคำตอบได้ว่า ท้ายสุดมันคือตัวอะไรกัน