หาก เปิดหนังสือพิมพ์ย้อนหลังกลับไปและค้นหาข่าวกรณีนางแบบ-นักแสดงชื่อดัง ที่ออกมาประกาศตัวต่อสาธารณะชนว่า เธอ "ท้องไม่มีพ่อ" คงจะจำเธอคนนี้กันได้ดี "แวร์ โซว-ณิชาภา แซ่โซว" เพราะเธอถือเป็นผู้หญิงคนแรกในวงการเลยก็ว่าได้ ที่กล้าออกมาพูดความจริงโดยที่ไม่แคร์ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา จะส่งผลกระทบต่อเธอ และลูกอย่างไร
แต่ท้ายที่สุดนั้น การตัดสินใจของเธอ คือสิ่งที่สังคมเข้าใจ และพร้อมให้กำลังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยว อดทน และสู้ชีวิตหาเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ถือเป็นต้นแบบคุณแม่ดาราเลี้ยงเดี่ยวลูกคนเดียวที่น่าชื่นชมคนหนึ่ง
นับว่าเป็นโอกาสดีของทีมงาน Life and Family ที่ได้เดินทางไปล้วงลึกถึงชีวิตของคุณแม่ดารานักสู้คนนี้กันถึงแมนชั่น ห้องพักที่เธอเช่าอยู่กับ "น้องคนดี" ลูกสาววัย 4 ขวบ 10 เดือน ที่ถือเป็นคนสำคัญของเธอ เพราะลูกคือคนที่สู้ชีวิตเคียงข้าง และคอยเติมพลังให้กับเธอมาตลอด ตั้งแต่ผู้ชายขี้โกงคนนั้น หนีจากเธอไป
"ตอน ที่พี่รู้ว่าท้องจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยก็ตาม พี่ไม่เสียใจ กลับดีใจด้วยซ้ำที่จะได้เป็นแม่คน เพราะพี่คิดว่า เขาเลือกที่จะมาอยู่กับเรา ดังนั้นเราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด ส่วนความคิดที่จะเอาลูกออกนั้น สำหรับพี่ไม่มี พี่ไม่คิดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีจริงๆ ซึ่งพี่โชคดี ที่พ่อแม่พี่น้อง เข้าใจ และให้กำลังใจ รวมทั้งเคารพในการตัดสินใจของเรา"
สำหรับเส้นทางที่เธอเลือก เดินนั้น เธอคิดอยู่ทุกครั้งว่า สิ่งที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อความรู้สึกลูกอย่างไรในตอนโต แต่เธอก็ได้สัญญากับตัวเองว่า เธอพร้อมจะชดเชยด้วยการให้ความรัก เวลา และพูดคุยกับลูกทุกวัน เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความรู้สึกว่า ตัวเองกำลังขาดบางสิ่งที่ไม่เหมือนเพื่อนไป เห็นได้จากการที่ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนปีแรก ซึ่งแน่นอนว่า ทุกโรงเรียนจะต้องมีกิจกรรมวันพ่อเพื่อให้เด็กทุกคนได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่ก่อนที่เธอจะพาลูกเข้าโรงเรียนนั้น เธอได้พูดคุยกับคุณครูถึงสภาพครอบครัวที่เธอเป็น ทั้งนี้ เพื่อที่ครูจะได้ปฏิบัติ และอธิบายให้ลูกฟังอย่างเข้าใจ
"มี อยู่ครั้งหนึ่ง น้องคนดีกลับมาเล่าเรื่องพ่อของเพื่อนให้ฟัง เราก็ถามลูกกลับไปว่า น้องคนดี หนูเคยสงสัยไหมค่ะว่า หนูมีคุณพ่อหรือเปล่า ซึ่งพี่ก็อธิบายต่อว่า น้องคนดี หนูมีคุณพ่อนะคะ แม่น่ะ เคยมีแฟน ซึ่งก็เป็นคุณพ่อของหนู เราเคยรักกัน แต่มีอยู่วันหนึ่งเราทะเลาะกันจนอยู่ด้วยกันไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ทนแม่ไม่ไหว และก็หนีแม่ไป ส่วนแม่ก็หาเขาไม่เจอ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รักลูกนะคะ เขาแค่กลัวแม่เท่านั้นเอง" นี่เป็นคำพูดที่เธออธิบายกับลูกถึงความจริงบางอย่างเท่าที่ลูกพอจะเข้าใจ แม้จะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่เธอก็ไม่เคยปิดกั้น และไม่เคยยัดเยียดสิ่งไม่ดีให้กับลูก
แนวทางเลี้ยงลูก สไตล์ "แวร์ โซว"
สำหรับ แนวทางการเลี้ยงน้องคนดี เธอเล่าอย่างน่าสนใจว่า "พี่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อให้ใครมาชม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก คือ ทุกคนเอ็นดูเขา พี่จึงบอกลูกเสมอว่า เห็นไหมค่ะน้องคนดี ที่แม่เคี่ยวเข็ญ ที่แม่พูดแล้วพูดอีก สอนแล้วสอนอีก ประโยชน์อยู่ที่ลูกหมดเลย เวลาลูกไปไหน ทุกคนก็รักใคร่เอ็นดู”
โดยหลักๆ แล้ว เธอจะเน้นสอนเรื่องมารยาท ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ลูกจะต้องมี เนื่องจากเธอโตมาจากครอบครัวที่เข้มงวดในเรื่องมารยาท เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ ต้องพูดว่าขอโทษนะคะ จากนั้นก้มหลัง และศีรษะลง หรือเวลาเดิน ห้ามเดินกระแทกเท้าเสียงดัง ตึง ตึง ซึ่งเรื่องมายาทนี้ เธอถือว่าเป็นเสน่ห์ของคนไทย ดังนั้น เมื่อมีลูก เธอจึงสอนลูกให้รู้จักสัมมาคารวะ พูดจามีคะขา มีหางเสียง ไม่ก้าวร้าว และปีนเกลียวผู้ใหญ่
ขณะเดียว กัน ถ้าลูกแสดงพฤติกรรมไม่ดีต่อหน้าคนอื่น การสอนให้รู้จักความเหมาะสมเป็นสิ่งที่เธอยินดีให้คนอื่นสอน ต่างกันกับพ่อแม่บางคนที่ไม่ยอมให้ใครมาสอน หรือตักเตือนลูก ในเรื่องนี้ เธอถือว่า ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเด็กจะเสียนิสัย "เราไม่สามารถดูลูกได้ตลอดเวลา แต่ถ้าลูกอยู่ในสายตาพี่ พี่ก็จะสังเกตอยู่ตลอด เวลาลูกคุยกับใคร หรือเล่นกับใคร คนๆ นั้นสอนเรื่องมารยาทให้กับลูกพี่ไหม ถ้าสอนพี่จะให้เล่น ถ้าเตือน หรือดุพี่จะให้เล่น
แต่ถ้าไม่เตือนและไม่ดุ พี่จะไม่ให้ลูกเล่นด้วย เพราะคุณกำลังสอนพฤติกรรมที่ไม่ดีให้ลูกเรา เนื่องจากบางที เด็กไปกระชากของจากมือผู้ใหญ่ และพอพี่ดุลูก ก็มาบอกว่า ไม่เป็นไร เด็กยังไม่รู้เรื่อง ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้ เพราะเด็กกำลังแสดงมารยาทที่ไม่สมควรออกมา ซึ่งถ้าคุณไม่สอน เด็กก็จะทำต่อไปจนติดเป็นนิสัย"
"หรือ อีกกรณีตัวอย่างหนึ่ง ตอนเด็กๆ น้องคนดีไม่เคยกลัวหมอฉีดยา แต่พอมีผู้ใหญ่บางคนมาพูด ฉีดยาเจ็บไหมลูก ร้องไห้หรือเปล่า พอไปหาหมอฉีดยาอีกครั้ง จากที่ไม่เคยร้อง ก็ร้องขึ้นทันที ซึ่งเราต้องพยายามบอกลูกว่า น้องคนดี หมอจะช่วยให้ลูกแข็งแรงนะคะ"
กับ กรณีข้างต้นนั้น ถือเป็นสิ่งที่เธอกำลังเป็นห่วงลูกอยู่ ณ ตอนนี้ รวมไปถึงอนาคตข้างหน้า เพราะสิ่งที่คนรอบข้างทำกับลูก กำลังส่งผลให้เด็กขี้กลัวโดยไม่มีเหตุผล รวมไปถึงทัศนคติอื่นๆ ที่เธอในฐานะคนเป็นแม่ไม่สามารถบอก หรือสอนลูกได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรเธอก็เชื่อมั่นว่า การที่ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกตั้งแต่เด็ก ย่อมมีความเสี่ยงน้อย ที่ลูกจะได้รับผลกระทบจากบางกลุ่มที่น่ากลัว