ส่องเพชร 72 กะรัต ที่ "พระมหาเจดีย์ชเวดากอง"

สมัยยังเด็ก นั่งดูโดราเอม่อน แล้วเก็บเอามาคิดว่าหากมีไทม์แมชชีนก็คงดี จะย้อนไปยุคจูลาสสิค-ดูไดโนเสาร์วิ่งเล่นกัน หรือยุค 14 ตุลา-ดูว่าทหารยิงนักศึกษาด้วยแววตาแบบใด... แต่ไม่มีเครื่องมืออย่างนั้น จึงเก็บงำความอยาก (ย้อนอดีต) ไว้กระทั่งตอนนี้

กระทั่งตุลาคมที่ผ่านมา บางกอก ทราเวล คลับ (Bangkok Travel Club) หรือบีทีซี ชวนไปไหว้พระทำบุญที่เมืองย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่าของประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่าพม่า ก็เกิดลางสังหรณ์ว่าจะได้ย้อนอดีตขึ้นมาก็คราวนี้แหละ

แม้พม่าและไทยจะมีความสัมพันธ์กันมายาวนานกว่า 1 พันปี แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับนึกย้อนไปได้เพียง 400 ปีตั้งแต่เสียกรุงฯเท่านั้น รับรู้เรื่องราวบางแง่มุมของชาติเพื่อนบ้านผ่านภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์และข่าวสาร โดยแทบไม่รับรู้เรื่องราวด้านอื่นๆ เลย จนบางคนเกิดความรู้สึกว่า พม่าคือชาติที่เป็นศัตรู - แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

ก่อนเดินทางก็เพิ่มพลังกันที่เลานจ์ของบางกอกแอร์เวย์สที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง ล้อเครื่องบินก็แตะพื้นรันเวย์ของท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง แม้บางคนจะมองว่าพม่าเป็นมือใหม่ในการให้บริการ แต่ขอบอกว่า "ความอบอุ่น" ที่ส่งผ่านมากับรอยยิ้ม สีหน้า ท่าทาง ออกมาในรูปมิตรไมตรีนั้น "กินขาด" แน่นอน เมื่อบวกกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับตัวอาคารกระจกทันสมัย สนามบินแห่งนี้สวยไม่แพ้ที่อื่นๆ เลย

พี่แก้ว ไกด์สาวชาวไทยใหญ่บอกว่า พม่าเพิ่งเปิดประเทศ สภาพบ้านเมืองและผู้คนจึงเหมือนย้อนอดีตไป 30 ปีหากเทียบกับไทย (คิดในใจ ได้ย้อนอดีตก็คราวนี้แหละ) รถราบนถนนมีตั้งแต่มือ 1 ถึงมือ 5-6 และสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนไม่ควรพลาดคือ เข้าวัดทำบุญ และทำใจกับการเปลือยเท้าเข้าวัดรวมถึงบูชาสถานทุกแห่ง

เมื่อมองดูตึกรามในย่างกุ้งที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ก็รู้สึกนับถือน้ำใจชาวพม่าที่ยังดูแลตัวอาคารที่แฝงความทรงจำเหล่านี้ไว้ ถนนทุกสายเต็มไปด้วยภาพของชีวิตเล็กๆ ที่ดำเนินไปอย่างกลมกลืนกับตึกอิฐที่สร้างขึ้นสมัยที่อยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ

ศาสนสถานแห่งแรกที่ไปถึงคือ "พระเจดีย์ซูเลย์ (Sule Pagoda)" เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมที่สร้างขึ้นสมัยที่อังกฤษปกครองพม่า ถูกมาร์กจุดให้เป็นศูนย์กลางของมหานครย่างกุ้ง ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของ "สวนสาธารณะมหาบัณฑุละ" ภายในเป็นที่ตั้งของ "อนุสาวรีย์อิสรภาพ" เสาแหลมสูง 40 เมตรที่ถูกล้อมรอบด้วยเสาหินสูง 9 เมตร จำนวน 5 ต้น ตัวเลขนี้หมายถึงรัฐที่ปกครองตัวเองแบบกึ่งอิสระในเมียนมาร์ คือ ฉาน, กะฉิ่น, กะยิน (กะเหรี่ยง), กะยา และชิน 

แม้รถตู้ที่เราโดยสารไปยังไม่จอดสนิท แต่เด็กๆ ที่ขายโปสการ์ดก็กรูเข้ามาจนน่ากลัวว่าล้อรถจะเหยียบเท้าซะก่อนได้ขาย แต่ละคนรัวคำถามภาษาอังกฤษว่าเป็นใครมาจากไหน จนเราสตั๊นท์ (อึ้ง) ไป 3 วินาที ก่อนน้องจะใช้ไม้ตาย "ทำไมพี่สวยจัง" ทุกคนในคณะคล้อยตามเอื้อมมือไปหยิบเงินที่กระเป๋าจ่ายค่าโปสการ์ดใบละ 10 บาท แต่ก็ต้องตัดใจรีบขึ้นรถเพราะต้องรีบเข้าโรงแรม คณะเราจึงได้เก็บภาพเท่านั้น ไม่ได้ทำบุญอย่างจริงจัง - เสียดายจัง

เราพักที่โรงแรมชาเทรียม (Chatrium Hotel) ริมทะเลสาบกันดอว์จี (Kandawgyi) ตื่นเช้ามาก็ใช้บริการทานาคาที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ผู้เข้าพักได้สวยหล่อตามแบบอิระวดีสไตล์ ก่อนจะเดินไปตามถนนนัตมัค (Natmauk) ด้านหน้าโรงแรมโดยมีเป้าหมายที่ "พระมหาเจดีย์ชเวดากอง"

ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึง 3 แยกที่มีคอกช้าง ข้ามถนนแล้วเดินตรงไปตามถนนสายรอง มองเห็นเจดีย์สีทองอร่ามอยู่ตรงหน้า ทุกๆ เช้าจะมีตลาดสดขนาดย่อม ขายสินค้าหลากหลาย แต่ใครจะเดินซึมซับบรรยากาศ หรือเก็บภาพวิถีชีวิตของชาติเพื่อนบ้านก่อนขึ้นไปสักการะเจดีย์ก็ได้

"ชเวดากอง เป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองพม่ามาราว 2,600 ปี 1 ใน 5 บูชาสถานที่ชาวพม่าต้องสักการะให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อสิริมงคลและเสริมบารมี เสมือนจิตวิญญาณของชาวพม่า"

พี่แก้วเล่าว่า รายได้ที่ชาวพม่าหามาได้นั้นจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกสำหรับการทำบุญ ส่วนที่สองสำหรับเก็บออม และสุดท้ายสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หากมีเวลาว่าง ไม่ว่ายากดีมีจน ทุกคนจะเข้าวัดทำบุญ หากมีเงินก็ใช้เงิน หากไม่มีเงินก็ออกแรงทำความสะอาดบริเวณต่างๆ ของวัดเพื่อสร้างบุญ

เจดีย์องค์ใหญ่ถูกรายล้อมไปด้วยชเวดากองจำลองจำนวน 68 องค์ ทั้งยังมีพระประจำวันเกิด ที่มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์มงคล เช่น วันจันทร์คือเสือ วันอังคารเป็นสิงห์ วันพุธกลางวันคือช้างมีงา เป็นต้น มหาเจดีย์ชเวดากองต้องเผชิญภัยพิบัติมาหลายครั้ง ผ่านการบูรณะและต่อเติมโดยกษัตริย์หลายรัชกาล จนความสูงจากแรกสร้างที่สูงไม่ถึง 10 เมตร จนตอนนี้สูงร่วม 100 เมตร ภายในประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า 8 เส้นและเครื่องอัฐบริขารคือไม้ธารพระกร ภาชนะสำหรับใส่น้ำ และสบง ของพระพุทธเจ้า 3 องค์ก่อน คือ พระกกุสันโธ, พระโกนาคมโน และพระกัสสโป 

คุณค่าของเจดีย์องค์นี้จึงไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของทองคำหนัก 23 ตัน อัญมณีนานาชนิด และเพชรขนาด 72 กะรัตที่อยู่บนยอด หากแต่เป็นศรัทธาอันแรงกล้าในพุทธศาสนา ที่ชาวพม่าตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาจนถึงกษัตริย์ผู้สร้างบ้านแปงเมือง เต็มใจมอบเพื่อบำรุงศาสนาต่างหากที่ประเมินค่าไม่ได้ 

ใครที่อยากเห็นเจดีย์ชเวดากองในช่วงที่สวยที่สุด แนะให้ไปช่วง 4-5 โมงเย็น (เปิด 04.00-21.00 น.) แล้วลากยาวไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน จะได้เห็นทั้งช่วงที่เจดีย์ต้องแสงอาทิตย์ และแสงไฟยามท้องฟ้ามืดสนิท... งามเหนือคำบรรยาย และความงามนี้เองที่ดึงดูดทั้งชาวพม่าและนักท่องเที่ยวให้มายังชเวดากอง ทั้งไหว้พระ ทำบุญ นั่งสมาธิ ซึ่งบริเวณที่คนแน่นที่สุดคือ "ลานอธิษฐาน" ซึ่งปูกระเบื้องเป็นรูปดาว บริเวณที่พระเจ้าบุเรงนองมาอธิษฐานขอพรให้ได้รับชัยก่อนออกรบ แล้วได้ชัยชนะกลับมา

นอกจากนี้ รายรอบของมหาเจดีย์ยังมีงานศิลปะและงานสถาปัตยกรรมที่ทุกชิ้นล้วนมีภูมิหลังน่าสนใจ เช่น ระฆังใบใหญ่น้ำหนัก 23 ตัน ที่พระเจ้าสิงคุ (Singhu) สร้างไว้เมื่อ พ.ศ.2321 จากทอง เงิน ทองแดง ตะกั่ว และสังกะสี กระทั่ง พ.ศ.2367 ขณะที่อังกฤษยังปกครองพม่า ได้คิดนำระฆังใบนี้กลับอังกฤษ แต่เกิดจมที่แม่น้ำย่างกุ้งเสียก่อน กู้เท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น หลังจากนั้นชาวพม่าจึงร่วมแรงร่วมใจกันกู้สำเร็จแล้วประดิษฐานไว้ที่เดิม กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีที่ชาวพม่าแสนภูมิใจ ทั้งยังเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก หากตี 3 ครั้งแล้วอธิษฐานก็จะสมหวัง

ก่อนกลับบ้านเกิด แวะซื้อของฝากกันที่ "ตลาดโบฉกอองซาน (Bogyoke Aung San)" หรือ "ตลาดสก๊อต" สร้างโดยชาวอเมริกันชื่อมิสเตอร์สก๊อต ไม่ใช่ชาวสก๊อตอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพื่อเป็นสถานีรถไฟ หลังจากได้รับเอกราชแล้ว อาคารหลายหลังถูกดัดแปลงเป็นตลาด มีสินค้าจากทั่วประเทศมาวางขาย ทั้งผ้าทอ ไม้แกะสลัก อัญมณี เป็นต้น - แต่อย่าลืมว่า "ตาดีได้ตาร้ายเสีย" นะ

แม้จะเป็นการย้อนอดีตเพียง 30 ปี แต่ขอบอกว่า "ฟินค่ะ" คุ้มค่าการรอคอยจริงๆ จะบอกว่า "หลงเสน่ห์พม่าอย่างจัง" กลับมาจึงหาข้อมูลเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของพม่า

แล้วก็ตัดสินใจว่า ทริปหน้าจะไปพุกาม... แดนเจดีย์ 4 พันองค์

เล็กๆ น้อยๆ จากย่างกุ้ง

1. ถนนสายต่างๆ ในเมืองย่างกุ้งไม่อนุญาตให้มอเตอร์ไซค์รวมทั้งจักรยานเข้ามาขับฉวัดเฉวียน จะได้เห็นก็ต่อเมื่อออกนอกเมืองย่างกุ้งเท่านั้น ทั้งถนนเล็กๆ ในหมู่บ้านถึงถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ แต่ละคันมีทั้งคนนั่งและคนซ้อน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คนซ้อนท้ายจะต้องนั่งไขว้ ไม่ใช่นั่งคร่อม

2. หลายคนอาจแปลกใจกับความวุ่นวายของรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ในย่างกุ้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงแตรเลย นั่นเพราะทางการเขาห้ามบีบแตรในเขตเมืองนั่นเอง 

3. ขณะที่คนไทยบางคนหวาดระแวงเพื่อนบ้านชาตินี้จนไม่อยากข้องแวะด้วย แต่สำหรับเขากลับยกย่องและชื่นชมคนไทยว่ามีความทันสมัย รวมทั้งสินค้าไทยที่ได้คุณภาพ

4. ครั้งหนึ่งเมื่อนางออง ซาน ซูจี ยังถูกควบคุมตัวอยู่ภายในบ้านพักของถนนยูนิเวอร์ซิตี้ (University avenue) มีการจำกัดการเข้าออก รถทุกคนที่จะผ่านไปยังย่านนั้นต้องมีการลงทะเบียน หากคันใดไม่ได้ลงทะเบียนก็อด แม้ตอนนี้จะเปิดให้ใช้ตามปกติแล้วก็ยังมีรถอีกชนิดที่ไม่ผ่านไปแถวนั้น คือ รถประจำทาง เพราะคนที่ใช้รถประจำทางคือคนที่มีรายได้น้อย ต่างกับผู้คนที่อาศัยอยู่ย่านนั้น ที่ล้วนแล้วแต่ฐานะดีมีรถขับ

5. ในเมียนมาร์ไม่มีการใช้บัตรเครดิต จะซื้อขายอะไรก็ต้องนำเงินสดไปแลกมาเลย ลองนึกถึงบ้านหลังโตๆ ที่ราคาแพงกว่าบ้านเรา 3 เท่าสิ ต้องใช้เงินจ๊าตกี่กระสอบถึงจะพอ

6. รถราที่แล่นตามท้องถนน ไม่ว่าจะเก่ามือ 5-6 หรือใหม่หมาดอย่างที่เพิ่งออกมาจากโชว์รูมล้วนแล้วแต่ไม่มีประกันชีวิต ผู้ขับขี่จึงทำประกันเทวดาเจ้าที่เจ้าทางแทน โดยจะไปผูกดวงกับต้นโพธิ์ที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ดูแลรดน้ำอย่างดีเพื่อความสบายใจ ทั้งยังมีใบแห่งชัยชนะจากต้นหว้า ที่มีความเชื่อมาแต่โบราณว่าจะนำพาสิ่งดีๆ มาให้ ขนาดผู้ชนะสิบทิศยังนำติดตัวไประหว่างออกรบเลย

Credit: มติชน ออนไลน์
#เพชร
HOBOMAN
นักแสดงนำ
สมาชิก VIP
17 พ.ย. 55 เวลา 18:32 3,189 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...