รับรองได้ว่าผู้หญิงไทยทุกคนต้องรู้จัก "วาโก้" ชุดชั้นในแบรนด์ดังที่คุ้นหามานมนาน บางคนใช้ชุดชั้นในยี่ห้อนี้มาตั้งแต่แรกสาว และเป็นชุดชั้นในตัวแรกด้วยซ้ำ จนเข้าใจว่าวาโก้เป็นแบรนด์คนไทย แต่ความจริงแล้วแบรนด์วาโก้เกิดขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น โคอิชิ ซึกาโมโต ที่ริเริ่มและพัฒนามาจนถึงปัจจุบันเกือบ 70 ปี ด้วยปรัชญา "ทำให้ผู้หญิงทั่วโลกสวยตลอดเวลา" นั่นเองจึงเป็นเหตุให้ ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้ช่วยอำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) พาไปเยือนบริษัท วาโก้ คอร์ปอเรชั่น ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นในทุกซอกทุกมุม
เริ่มต้นสัมผัสวาโก้อย่างแท้จริงกับการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของวาโก้ ที่รังสรรค์ให้สอดคล้องกับความนิยมของผู้หญิงทั่วโลก ซึ่งได้จำแนกแบ่งกันไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ อย่างความชอบในชุดชั้นในผู้หญิงตะวันตกจะนิยมจะเป็นชุดผ้าซีทรู ในขณะที่ผู้หญิงเอเชียจะมีความเรียบร้อยเน้นการปกปิดเนินอกอย่างมิดชิด หรือผู้หญิงอเมริกันจะนิยมชุดชั้นในแบบไม่รัดจนอึดอัด และที่ทำให้คณะเราแปลกใจคือวาโก้ ไม่ใช่ผลิตเพียงชุดชั้นในเท่านั้น ยังสร้างสรรค์สินค้าสำหรับผู้หญิงหนึ่งคน ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ พัฒนาสินค้าในแต่ละช่วงชีวิตออกมา จะเห็นสินค้าของเด็กผู้หญิงตั้งแต่แรกเกิด หลังจากนั้นค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นเด็ก วัยรุ่น แต่งงาน ซึ่งก็จะมีบราสำหรับใส่กับชุดแต่งงาน นอกจากนี้ยังแตกไลน์เป็นเสื้อผ้ากีฬา รองเท้า หรือแม้กระทั่งชุดลดสัดส่วน ที่ต่อยอดจากผลการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดชั้นในให้เหมาะสมกับผู้หญิงทุกคนนั่นเอง
จากนั้นเจ้าหน้าที่พาเราไปยังห้องนิทรรศการที่บอกกล่าวความเป็นมาของวาโก้ได้อย่างละเอียด เริ่มจากความเป็นมานับตั้งแต่หลังเสร็จสิ้นภาระกิจร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ โคอิชิ ซึกาโมโต รอดพ้นมีชีวิตกลับญี่ปุ่น มีความคิดว่าจะต้องพัฒนาประเทศต่อไป จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนสร้างธุรกิจ แรกเริ่มจากการขายเครื่องประดับ ด้วยคิดว่า “เมื่อมีความสงบสุขเกิดขึ้น ผู้หญิงก็จะมีความสวยงาม” บวกกับการได้มีโอกาสเห็นหนังสือของทหารยุโรปทิ้งไว้ แล้วผู้หญิงใส่ชุดชั้นใน จึงเริ่มพัฒนาและทำชุดชั้นในออกมาโดยใช้ภรรยาของตัวเองเป็นต้นแบบ จนออกมาโครงเสื้อและช่องสำหรับใส่แผ่นเสริม ซึ่งแผ่นเสริมแรกเริ่มจะมีรูปลักษณ์เป็นเหมือนลวดม้วนคล้ายสปริง เพื่อให้ผู้หญิงญี่ปุ่นดูมีทรวดทรงมากขึ้น จากที่ไม่มีเลยเพราะต้องใส่ชุดกิโมโนที่รัดรึงแน่นมาตั้งแต่เด็กๆ จนขายดีและต่อยอดการพัฒนาชุดชั้นในไปตามสมัยต่างๆ และสวยขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สรีระของผู้หญิงญี่ปุ่นสวยงามขึ้นตามยุคสมัย
แล้วก็ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมห้องวิจัยที่ถือว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุดของวาโก้ ที่มีเครื่องมือเทคโนโลยีตามแบบของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพัฒนามาเพื่อศึกษาสรีระของผู้หญิงโดยเฉพาะ เพื่อพัฒนาต่อยอดออกมาเป็นชุดชั้นในทุกรูปแบบ โดยจะมีการวิจัยจากบุคคลจริงๆ ซึ่งบางคนได้ศึกษาการพัฒนาสรีระตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงปัจจุบันมีอายุมากขึ้นก็ยังเป็นต้นแบบในการวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านวัตถุดิบ เครื่องจักร สรีระวิทยา ตลอดจนถึงการพัฒนาบุคลากร ให้มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเทคนิคและทักษะการตัดเย็บ ซึ่งนี้เองคือจุดแข็งของแบรนด์วาโก้ และที่เห็นถึงความทันสมัยในเครื่องมือคือ "เครื่องวัดสรีระสามมิติ" ที่จะสามารถบอกสัดส่วนของบุคลลนั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากห้องวิจัยนี้ กว่าจะออกมาเป็นชุดชั้นในเราเลือกซื้อหามาใช้นั้น ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มาอย่างมากมาย ในขั้นแรกเมื่อนำผลวิจัยมาผลิตชุดชั้นในแล้ว ต้องผ่านการทดลองที่เริ่มจากหุ้นก่อน ซึ่งหุ่นก็สร้างออกมาด้วยเทคนิคพิเศษมีความยืดหยุ่นเหมือนกับคนจริงๆ และเมื่อใส่หุ่นแล้วต้องแก้ไข ก็ต้องเอาไปปรับปรุงแล้วจึงนำมาทดลองกับคนจริง โดยจะเชิญบุคคลที่อยู่ในฐานข้อมูลอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้มีอยู่กว่า 3,000 คน มาทดสอบให้ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา รวมถึงมีการทดสอบด้วยว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมานั้นถูกใจหรือไม่ก่อนด้วย
พร้อมกันนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังให้ความรู้กับเราว่าสรีระของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงวัย ในหน้าอกของเราไม่มีกล้ามเนื้อ จะมีไขมันและสายน้ำนม ฉะนั้นไม่สามารถออกกำลังหรือทำอะไรให้กล้ามเนื้อฟิตได้ ถ้าเราไม่ดูแลด้วยการเลือกชุดชั้นในที่เหมาะสมเมื่ออายุมากขึ้นไขมันก็จะเพิ่มมากขึ้นเต้านมก็หย่อยคล้อยลงมาเรื่อยๆ สังเกตได้เองเลยว่าคนที่ใส่ชุดชั้นในขนาดเดียวกัน แต่อายุต่างกันใส่แล้วจะไม่เหมือนกันเนื่องจากกล้ามเนื้อต่างกัน ดังนั้นทุกครั้งที่จะเลือกซื้อชุดชั้นในต้องลองก่อน ทางที่ดีควรให้เจ้าหน้าที่วัดทรวงทรงทุกครั้งจะเป็นการดีที่สุด และการวิจัยเหล่านี้ในส่วนของไทยวาโก้ก็มีการพัฒนาเฉกเช่นเดียวกัน โดยมีฐานข้อมูลของผู้หญิงและมีการสำรวจสรีระในทุกๆ 5 ปี
และที่ทำเอาเราตื่นตาและตกใจ เพราะหลังจากคุยกันเรื่องการวัดสรีระด้วยเครื่องสามมิติและการวัดสรีระของผู้หญิงในวัยต่างๆ แล้วนั่น เจ้าหน้าที่ได้พาไปยังห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อเดินเข้าไปทำเอาทุกคนบ่นอุบ เพราะร้อนอบอ้าวมาก จนถึงกับเอ่ยปากว่าจะให้เราคุยในนี้หรือ สุดท้ายเจ้าหน้าที่ยิ้มก่อนจะบอกว่าออกมาได้แล้ว และเฉลยว่าห้องที่พาเขาไปนั้นคือห้องปรับอุณหภูมิเพื่อเป็นการทดสอบประสิทธิภาพและวัสุดที่เลือกใช้ในการผลิตชุดชั้นในหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างห้องที่เข้าไปเมื่อสักครู่ได้ปรับอุณหภูมิไว้ที่ 33 องศาเซลเซียล เป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุดในเกียวโต แล้วให้หญิงสาวใส่ชุดชั้นในที่ผลิตขค้นมาาใส่แล้วเขาไปอยู่ในห้องนี้ เพื่อจะทดสอบว่าใส่แล้วสบายหรือเปล่า อึดอัดแค่ไหน ระบายอากาศได้ดีแค่ไหน ถ้าต้องแก้ไขก็ต้องปรับปรุงก่อนออกวางตลาด รวมถึงมีห้องสำหรับปรับอากาศให้เย็นมากๆ ให้เหมือนช่วงอากาศหนาวที่สุดในญี่ปุ่นแล้วทดสอบในแบบเดียวกัน แถมยังรู้มาด้วยว่า วาโก้เขาวางงบประมาณในการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ของเขาต่อปีนั้นสูงถึงปีละประมาณ 500 ล้านเยน หรือ 200 ล้านบาทกันเลยทีเดียว และนี่เองที่วาโก้มั่นใจว่าเป็นแบรนด์เดียวที่วิจัยถึงสรีระของผู้หญิงในทุกช่วงวัยก่อนที่จะรังสรรค์ผลิตภัณฑ์
เท่านั้นยังไม่พองานนี้ยังได้มีโอกาสพบ ยูโซะ อิเดะ รองประธานกรรมการ วาโก้ คอร์ปอเรชั่น ที่มาพร้อมรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าก่อนจะเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปแผนกลยุทธ์ทางการตลาดว่า กลยุทธ์ของวาโก้ในตลาดอาเซียนที่มองหลังการรวมตัวกันเพื่อเปิดเป็นประชาคมอาเซียน จะให้ความสำคัญกับประเทศในแถบนี้มากขึ้น โดยจะเห็นว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นได้มีการลงทุนในอาเซียนถึง 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 40% ขณะที่การลงทุนของประเทศญี่ปุ่นในจีนที่เป็นตลาดใหญ่ ลงทุนไป 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับว่า ให้ความสำคัญกับอาเซียนมากกว่าที่ผ่านมา ส่วนในไทย วาโก้มีการคาดหวังเช่นกัน ซึ่งจากภูมิศาสตร์ประเทศไทยอยู่จุดกึ่งกลางระหว่างลาว พม่า กัมพูชา ซึ่งมีดินแดนติดกัน เชื่อมโยงกันได้ง่าย นอกจากนั้นอนาคตมองว่า น่าจะต้องมีการขยายไปถึงอินเดีย และไทยน่าจะเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อไปได้
แต่ที่ประทับใจเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า "แล้วภรรยาคุณอิเดะใส่วาโก้ด้วยหรือเปล่า" ครานี้เจ้าตัวหัวเราะลั่นก่อนตอบว่า "ถ้าไม่ใส่ชุดชั้นในของวาโก้มีหย่าครับ" ที่นี้ก็ทำเอาพวกเราทั้งคณะหัวเราะกันลั่นบ้างละค่ะ
ปิดท้ายอีกเรื่องที่บริษัทวาโก้ คอร์ปอเรชั่น และบริษัท ไทยวาโก้ จำกัด(มหาชน) ให้ความสำคัญมากเช่นกัน นั่นคือเรื่องของการตอบแทนสังคมหรือซีเอสอาร์ ที่มีโครงการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมี โครงการพิงค์ริบบอน เพื่อรณรงค์ให้ผู้หญิงใส่ใจในเรื่องของมะเร็งเต้านม ให้ความรู้ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง แม้กระทั่งการรังสรรค์ชุดชั้นในสำหรับผู้ที่ผ่าตัดเต้านมแล้วกับโครงการที่ชื่อ "รีมัมม่า" นอกจากนี้ยังสร้างรถที่มีเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อออกตรวจเมมโมแกรมให้โดยเฉพาะด้วย โครงการรีไซเคิลบรา ซึ่งของวาโก้ญี่ปุ่นได้มีการสร้างโรงงานเพื่อรีไซเคิลบราโดยเฉพาะแล้วแปรรูปออกมาเป็นถุงกระดาษเพื่อใช้ต่อไป ในขณะที่ไทยวาโก้ "ใหญ่" ธรรมรัตน์ เล่าให้ฟังว่าโครงการรถตรวจเมมโมแกรมเราทำมาก่อน ทางญี่ปุ่นเห็นว่าดีจึงดำเนินการขึ้นมา ส่วนโครงการรีไซเคิลบราก็ทำเช่นกัน แต่เรายังไม่มีโรงงานรีไซเคิล จึงได้นำบราเก่าที่ลูกค้านำมาส่งให้ที่เคาน์เตอร์วาโก้ ส่งต่อยังกลุ่มแม่บ้านเพื่อรังสรรค์ผลงานต่างๆ ออกมาจากชุดชั้นในเก่าเหล่านั้น จนได้ผลิตภัณฑ์ใหม่และได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด
ตอบโจทย์ได้ทุกซอกทุกมุม...นั่นเองจึงทำให้ตัดสินใจได้ทันทีว่า นับจากนี้ก่อนซื้อชุดชั้นในจะลองก่อนทุกครั้ง และข้อที่สอง มั่นใจได้ว่าชุดชั้นในของวาโก้ก่อนจะถึงมือของผู้บริโภคเข้าผ่านการวิจัยมาอย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้หญิงสวยตลอดเวลาจริงๆ