จากคิวเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก เมืองท่าค้าชายแดนของพม่า ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน
มีรายละเอียดคร่าวๆ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพบกับ พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า เป็นลำดับแรก ก่อนพบปะกลุ่ม ส.ส.และคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ร่วมกิจกรรมทำบุญที่เจดีย์ชเวดากองจำลอง
กลุ่มคนเสื้อแดงต่างหมายมั่นว่าจะมีโอกาสทักทายและพบปะ พ.ต.ท.ทักษิณแบบตัวเป็นๆ
แรกเริ่ม อดีตนายกรัฐมนตรีจะเหยียบแผ่นดินท่าขี้เหล็กในวันที่ 8 พฤศจิกายน ก่อนจะเลื่อนวันออกมา
กระทั่งวันที่ 3 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารของพม่าได้เข้าปิดล้อมบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ในเมืองท่าขี้เหล็ก จับกุมชาวไทยใหญ่ สัญชาติพม่า พร้อมอาวุธสงครามจำนวนหนึ่ง อาทิ จรวดอาร์พีจี 3 ลูก และอาวุธปืนเอ็ม 16
ต่อมา โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร ได้เขียนเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า อาวุธที่จับได้นั้นเตรียมใช้ก่อการที่เจดีย์ชเวดากองจำลอง ในวันที่ 10 พฤศจิกายน
"ตรงกับคิวที่คุณพ่อผม และมวลมิตรเสื้อแดงจะไปทำบุญร่วมกันพอดีครับ" ก่อนจะย้ำในอีกไม่กี่บรรทัดถัดมาว่า "เบื้องหลังสั่งการก็คือ ขาเก่าเจ้าประจำ คนดี คนเดิม"
เฟซฉบับต่อมาของโอ๊คยืนยันว่ามีแผนลอบสังหารพ่อจริง พร้อมชักชวนคนเสื้อแดงช่วยกันขอร้องพ่ออย่าเข้าท่าขี้เหล็กเด็ดขาด
ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป แม้จะทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่จัดข้าวจัดของไปรอต้อนรับต่างหงุดหงิดกันเป็นแถวก็ตาม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณต้องวนเวียนกับข่าวถูกหมายปองเอาชีวิต หากย้อนกลับไปสมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีประสบการณ์ตรงที่ทำให้เชื่อว่า เป็นเช่นนี้จริงๆ
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2544 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว หลังเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกได้เพียง 25 วัน
เครื่องบินโบอิ้ง 747 สายการบินไทย ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมลูกชาย และคณะกว่า 20 ชีวิตจะนั่งโดยสารไป จ.เชียงใหม่ เกิดระเบิดขึ้น ขณะจอดรอความพร้อมที่หลุมจอดที่ 62 ตรงอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ สนามบินดอนเมือง
เครื่องบินเสียหายทั้งลำ มีผู้เสียชีวิต 1 และบาดเจ็บ 6 คน
นับว่าแคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากเครื่องระเบิดขึ้นในเวลา 15.40 น. ทั้งที่กำหนดการเครื่องต้องออกจากรันเวย์ในเวลา 15.15 น. แต่เพราะโอ๊ค พานทองแท้ ที่ร่วมคณะไปด้วย มาล่าช้าไปประมาณ 25 นาที
ข่าวถูกนำเสนอไปทั่วโลก มีรายงานข่าวออกมา ทั้งที่เชื่อว่าเป็นการมุ่งปลิดชีพ พ.ต.ท.ทักษิณ และเชื่อว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายระดมเข้ามาพิสูจน์หาสาเหตุ ทั้งกองพิสูจน์หลักฐาน กองสรรพาวุธ สถาบันนิติเวชวิทยา พนักงานสอบสวนกองบังคับ การตำรวจนครบาล 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแผนกทำลายวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธ
สรุปเบื้องต้นหลังวันเกิดเหตุ 3 วัน จุดที่ระเบิดเกิดขึ้นบริเวณห้องเก็บสินค้าส่วนด้านหน้าในสุด ค่อนไปทางซ้ายของลำตัวเครื่องบิน ตรงกับบริเวณใต้ที่นั่งชั้นประหยัด หมายเลข 32-36 ห่างจากที่นั่งชั้นธุรกิจ ประมาณ 5-6 แถว
ผู้เชี่ยวชาญที่เชิญมาจากสหรัฐอเมริกา เข้าตรวจสอบ ก่อนรวบรวมและตั้งข้อสันนิษฐานว่า มาจากถังเชื้อเพลิงกลางลำตัวเครื่องบิน ด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ 1.การวางระเบิดในห้องผู้โดยสาร ใกล้ถังเชื้อเพลิงกลางลำตัวเครื่องบิน 2.จากระบบของเครื่องบิน บริเวณถังเชื้อเพลิงกลางลำตัวเครื่องบิน และ 3.จากเหตุอื่นๆ ซึ่งยังไม่พบหลักฐาน
จากเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 23 ของประเทศไทย ขยาดที่จะใช้บริการของสายการบินแห่งชาติ หันไปใช้บริการนกเหล็กกองทัพอากาศแทนในเวลาต่อมา
ต่อมาปี 2549 หลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องระทึกกับคดีที่เกือบจะเป็น "คาร์บอมบ์" เมื่อวันที่ 24 ส.ค.
เจ้าตัวเชื่อว่า มีความพยายามของกลุ่มฝ่ายตรงข้ามต้องการเอาชีวิตอย่างถึงที่สุด
แต่เกิดการถกเถียงกันอื้ออึง "เชื่อ" กับ "ไม่เชื่อ" อันเป็นที่มาของคดี "คาร์บอมบ์" ที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง พยายามเบี่ยงเบนให้เป็น "คาร์บ๊องส์"
เหตุเกิดขึ้นตอนเช้า รปภ.นายกฯ พบรถเก๋งมีพิรุธคันหนึ่ง ขับป้วนเปี้ยนหน้าบ้าน "จันทร์ส่องหล้า" ถึง 2 ครั้ง ก่อนไปจอดบริเวณข้างสะพานข้ามแยกบางพลัด เป็นเส้นทางที่ขบวนรถของ พ.ต.ท.ทักษิณต้องผ่านจากบ้านพักไปทำงาน
ต่อมาหน่วย รปภ.ประสานกับหน่วยอรินทราช 191 และตำรวจท้องที่ เข้ากรูล้อมรถเพื่อขอ ตรวจค้น
ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ อายุ 43 ปี อดีตคนขับรถของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รอง ผอ.กอ.รมน. เป็นผู้ขับรถคันนั้น
หลังเข้าตรวจค้นต่างผงะกับสิ่งที่เห็น บริเวณที่นั่งตอนหลังมีระเบิดทีเอ็นทีและซีโฟร์ผูกติดกันไว้ ที่กระโปรงท้ายมีถังแกลลอนน้ำมันเครื่องขนาด 5 ลิตรบรรจุน้ำมันเบนซินผสมปุ๋ย ยูเรียจำนวน 7 แกลลอน และที่วางเท้าอีก 6 แกลลอน รวมทั้งยังพบแผงวงจรที่เบรก มือ อานุภาพความรุนแรงในรัศมีไกลถึง 1 กิโลเมตร
หลังจับกุม ร.ท.ธวัชชัยไม่นาน พ.ต.ท. ทักษิณมีคำสั่งปลด พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ตำแหน่ง รอง ผอ.กอ.รมน. ในขณะนั้น พ้นจากตำแหน่งทันที
พล.อ.พัลลภออกมาแถลงปฏิเสธทันทีว่าไม่เกี่ยวข้อง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นเรื่องการสร้างสถานการณ์มากกว่า
ในเวลานั้นมีรายงานข่าวว่า สาเหตุที่ต้องลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผู้ก่อการมองว่าไม่มีหนทางใดที่จะโค่นลงได้อีกแล้ว กระทั่งมีการวางแผนลอบสังหาร ก่อนเกิดความผิดพลาดขึ้นมา โดยพยายามจะโบ้ยให้เรื่องของ "คาร์บ๊องส์"
คดียังเดินหน้าต่อไป มีการสาวไปถึงผู้ร่วมก่อการ และชื่อของ "จ่ายักษ์" หรือ จ.ส.อ. ชาคริต จันทระ ปรากฏขึ้นมา โดย "จ่ายักษ์" ขอเข้ามอบตัว ก่อนจะแฉทุกขั้นตอนการลอบสังหาร จนเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาคดีของศาลทหาร
มีนายทหาร 3 นาย ถูกตัดสินลงโทษ อาทิ ความผิดร่วมกันมีวัตถุระเบิดและร่วมกันมียุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนข้อหาพยายามฆ่า ศาลยกฟ้อง
การพิจารณาคดีดำเนินไปหลังการรัฐ ประหาร 2549 ซึ่งหากเป็นการจัดฉากสร้างสถานการณ์ คดีน่าจะลงเอยอีกอย่าง
กล่าวสำหรับเหตุการณ์จับอาวุธสงครามที่ท่าขี้เหล็ก ฝ่ายค้านและกลุ่มพลังฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย พยายามชี้ว่า เป็นการกุข่าว หรือการสร้างข่าวเท่านั้น
ขณะที่แหล่งข่าวตำรวจและทหารกล่าวในทำนองเดียวกันว่า ยังไม่เคยพบข้อมูลการลอบสังหารแต่อย่างใด การจับอาวุธสงครามมีเกิดขึ้นตรงชายแดนเป็นประจำอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการตามล้างเอาชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
แต่โอ๊ค ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กด้วยความรู้สึก ในฐานะลูกที่รักพ่อไม่แพ้ลูกคนอื่น ให้เข้าใจหัวอกคนเป็นลูก ด้วยคำเขียนที่ว่า "หากยังไม่เลิกเล่นแรงกันแบบนี้ ผมจะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบถึงที่ทำงาน ขอให้เขาเลิกยุ่งกับคุณพ่อผมสักที ดีมั้ยครับ"
ถ้าให้เคลียร์ หน่วยข่าวต้องเคลียร์เรื่องนี้ออกมาให้ได้