“แผลเริมที่อวัยวะเพศ” เิกิดจากอะไร และมีวิธีป้องกันได้อย่างไรวันนี้เรานำมาฝากกันค่ะ
สาเหตุ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคคือ เชื้อเริมอวัยวะเพศ (Herpes simplex virus type 2) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มักติดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีแผลเริม เป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เนื่องจากภายหลังการติดเชื้อ เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทได้อย่างถาวรและถูกกระตุ้นให้ เกิดโรคซ้ำในบริเวณเดิมได้เป็นครั้งคราว
ระยะฟักตัว อยู่ระหว่าง 2-14 วัน
อาการ ผู้ป่วยมักจะมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมกับมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ ตุ่มน้ำนี้จะแตกภายใน 24-48 ชั่วโมงกลายเป็นแผลตื้นๆคล้ายแผลร้อนในภายในปาก ทำให้อวัยวะเพศบริเวณดังกล่าวบวมแดงแสบร้อนเจ็บปวดมาก ผู้ป่วยที่มีรอยโรคครั้งแรกมักมีรอยโรคจำนวนมากและแผลหายช้า มีอาการอักเสบและแสบบริเวณปากช่องคลอด และท่อปัสสาวะอย่างรุนแรง ทำให้มีปัสสาวะแสบร่วมด้วยได้ แผล จะตกสะเก็ดแห้งหายไปภายใน 3 สัปดาห์ แต่ในผู้ป่วยบางรายถ้าไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม แผลเล็กๆจะขยายรวมเป็นแผลกว้างร่วมกับมีอาการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียแทรก ซ้อนกลายเป็นแผลก้นลึกขนาดใหญ่ ทำให้การรักษาลำบาก
ในกรณีที่กลับเป็นซ้ำมักสัมพันธ์กับปัจจัยหลายอย่างดังต่อไปนี้ เช่น ขณะที่มีประจำเดือน ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อ่อนเพลีย เป็นต้น แผลมักจะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆ 2-3 ตุ่มในบริเวณเดิม และมักจะหายเองภายใน 1สัปดาห์
ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีรอยโรคขณะเจ็บครรภ์คลอดถือเป็นข้อบ่งชี้ให้แพทย์ทำการผ่า ตัดคลอดทางหน้าท้องเนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อถึงทารกระหว่างคลอดได้
การรักษา
ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อครั้งแรกต้องมาพบแพทย์เพื่อรักษาโดยจะได้รับยาต้านเชื้อไวรัสเริมเช่น ยา acyclovir เพราะสามารถทำให้อาการดีขึ้นเร็วและระยะเวลาแพร่กระจายเชื้อสั้นลง แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงแพทย์อาจให้นอนโรงพยาบาล เพื่อให้ acyclovir ฉีดเข้าทางเส้นเลือด อย่างไรก็ตามแพทย์ผู้ให้การรักษาอาจพิจารณาให้ยาแก้ปวด ลดไข้และยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยบางราย และแนะนำการดูแลความสะอาดแผลหรือการนั่งแช่แผลด้วยน้ำอุ่น
ในรายที่มีอาการเกิดซ้ำมักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7 วัน หรือแพทย์อาจให้ยากินหรือทา ในรายที่มีอาการเกิดซ้ำมากกว่า 6 ครั้งต่อปี แพทย์ผู้ดูแลรักษามักจะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเริมระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) เพื่อเป็นการควบคุมเชื้อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
คำแนะนำการปฏิบัติตัว
1. รับประทานยาตามแผนการรักษา
2. ดูแลแผลให้สะอาดอยู่เสมอ เช่น การแช่น้ำอุ่น
3. ควรได้รับการตรวจเลือดและตรวจภายในเพื่อตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
4. งดเพศสัมพันธ์ระหว่างที่มีแผล เนื่องจากมีการส่งเชื้อเริมให้ผู้ที่สัมผัสแผลและมีการติดเชื้ออื่นได้ง่าย
5. หากพบว่ามีอาการที่รุนแรงขึ้น หรือการรักษาไม่ได้ผล ให้มาพบแพทย์