ตามหลักฐานที่บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารของไทย ได้มีการกล่าวถึง นายทหารคู่พระทัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยกันทั้งหมดสามนาย ทีซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่น ได้แก่ พระชัยบุรี พระศรีถมอรัตน์และพระราชมนู และต่อไปนี้คือเรื่องราวของทหารเสือทั้งสามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สำหรับทหารเสือท่านแรกคือพระราชมนูนั้นได้ถูกกล่าวถึงในพงศาวดารหลายครั้งโดยมีบทบาทเด่นครั้งแรกเมื่อครั้งสงครามกับกองทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2127 โดยในสงครามครั้งนี้พระราชมนูพร้อมกับขุนรามเดชะได้คุมทหารม้า 200 นายทหารราบ 3,000 นายไปสกัดกองทัพหน้าของเชียงใหม่ซึ่งมีรี้พลถึง 15,000 นายนำโดยไชยยะกะยอสูและนันทกะยอทางที่ยกเข้ามาตั้งมั่นที่ปากน้ำบางพุทราแขวงเมืองพรม
ในการรบครั้งนี้เนื่องจากพระราชมนูเห็นว่าฝ่ายตนมีกำลังน้อยกว่าข้าศึกหลายเท่าจึงใช้ยุทธวิธีลอบโจมตีสังหารทหารข้าศึกที่ออกมาลาดหาเสบียงล้มตายเป็นจำนวนมากจนทำให้ทัพหน้าของเชียงใหม่จำต้องล่าถอยไป
ครั้นในปีรุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพหลวงลงมาทำศึกกับอโยธยาตามพระบัญชาของพระเจ้านันทบุเรงสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงวางกลศึกซุ่มทำลายทัพเชียงใหม่ที่ทุ่งบางแก้วโดยทรงให้พระราชมนูนำไพร่พล 10,000 นายเป็นกองล่อเข้าโมตีทัพเชียงใหม่เพื่อให้อีกฝ่ายไล่ตาม
ในศึกครั้งนี้พระราชมนูได้ปะทะกับกองหน้าของฝ่ายเชียงใหม่ที่มีกำลังพล 15,000 นาย นำโดยพระยาเชียงแสนเนื่องจากเห็นว่ากำลังของฝ่ายตนกับข้าศึกสูสีกันพระราชมนูจึงเข้ารบพุ่งโดยไม่ยอมล่าถอยทำให้สมเด็จพระนเรศวรทรงกริ้วและทรงให้จหมื่นทิพรักษาถือพระราชโองการไปว่าหากพระราชมนูไม่ยอมถอยก็จะให้ประหารเสียพระราชมนูเมื่อทราบดังนั้นจึงเร่งถอยทัพตามกลศึกและสามารถล่อให้ทัพใหญ่ของฝ่ายเชียงใหม่ล่วงเข้ามาถึงชัยภูมิที่ทัพหลวงของฝ่ายอโยธยาซุ่มอยู่จนทำให้ทัพอโยธยาตีข้าศึกแตกพ่ายไปได้
ผลงานที่สำคัญที่สุดของพระราชมนูคือเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีกรุงละแวกซึ่งในสงครามครั้งนี้พระราชมนูได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหน้าและได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่โดยสามารถตีเมืองของฝ่ายละแวกได้ถึงสามเมืองนั่นคือเมืองโพธิสัตว์เมืองพระตะบองและเมืองบริบูรณ์นอกจากนี้ยังเป็นกองหน้าทำไพร่พลเข้าหักเอากรุงละแวกราชธานีของฝ่ายเขมรได้ด้วยและด้วยผลงานที่สำคัญนี้เองสมเด็จพระนเรศวรจึงทรงโปรดฯให้พระราชมนูขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าพระยามหาเสนาบดีว่าการสมุหพระกลาโหม
ทหารเสือท่านต่อมาที่จะกล่าวถึงคือพระชัยบุรีโดยชื่อของพระชัยบุรีปรากฏขึ้นครั้งแรกในศึกเขมรเมื่อปี พ.ศ.2125 พระเจ้ากรุงละแวกแห่งเขมรได้ส่งพระทศราชาคุมทหาร 5,000 นาย ยกมาตีเมืองนครราชสีมาพระนเรศวรซึ่งในยามนั้นทรงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชได้เสด็จนำไพร่พล 3,000 นาย ไปรับศึกและให้พระชัยบุรีกับพระศรีถมอรัตน์ทหารเสืออีกท่านหนึ่งคุมพลม้า 500 เป็นกองหน้าทั้งสองได้นำไพร่พลเข้าตีกองหน้าของฝ่ายเขมรจนแตกพ่ายไปถึงกองหลวงทำให้ข้าศึกเสียกระบวนทัพและถูกทัพของพระนเรศวรโจมตีจนแตกพ่ายยับเยินหลังจากสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพแล้วพระชัยบุรีกับพระศรีถมอรัตน์ก็ได้สร้างผลงานอีกครั้งโดยการนำกองทหารเข้าโจมตีทัพของนันทสูกับราชสงครามจำนวน 10,000 นาย ที่ยกมาตั้งค่ายอยู่ที่กำแพงเพชรจนแตกพ่ายยับเยินไป
นอกจากการรบทั้งสองครั้งที่กล่าวถึงไปแล้วพระชัยบุรียังได้ตามเสด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทำสงครามกับหงสาวดีอีกหลายครั้งจนได้เลื่อนยศเป็นพระยาชัยบูรณ์และภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ครองเมืองพระพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองเอกของฝ่ายเหนือซึ่งภายหลังจากได้เลื่อนยศแล้วเจ้าพระยาสุรสีห์อดีตพระชัยบุรีก็ยังมีบทบาทในการนำกองทหารจำนวนหนึ่งร่วมกับพระยารามเดโชรับพระบัญชาสมเด็จพระนเรศวรเดินทางไปห้ามปรามทัพล้านช้างมิให้ยกเข้าตีล้านนาซึ่งในเวลานั้นเป็นประเทศราชของอโยธยาโดยทางฝ่ายล้านช้างก็เกรงขามในพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวรจนยอมถอยทัพกลับแต่โดยดี
ส่วนทหารเสือท่านสุดท้ายที่จะกล่าวถึงนี้แม้จะมีฝีมือในการบไม่ย่อหย่อนกว่าทั้งสองท่านที่กล่าวไปแล้วทว่าบั้นปลายสุดท้ายกลับแตกต่างไปมากนั่นคือพระศรีถมอรัตน์ซึ่งเคยสร้างผลงานในการศึกคู่กับพระชัยบุรีเมื่อครั้งทำศึกกับทัพเขมรในปี พ.ศ.2125 และเมื่อครั้งที่ทำศึกกับทัพหงสาวดีที่ควบคุมโดยนันทสูและราชสงครามหลังการประการอิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวรแล้ว
ครั้นเมื่อเกิดศึกนันทบุเรงพระศรีถมอรัตน์ซึ่งในเวลานั้นได้ยศเป็นพระยาศรีไสยณรงค์ได้คุมพล 5,000 นาย ทำศึกกับทัพเขมรที่ฉวยโอกาสเข้ามาตีชายแดนขณะที่ฝ่ายอโยธยายังติดศึกกับหงสาวดีอยู่โดยแม้ว่าในศึกนี้ฝ่ายเขมรจะมีรี้พลถึง 10,000 นาย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ทัพของพระยาศรีไสยณรงค์ที่มีกำลังพลน้อยกว่า
จุดพลิกผันในชีวิตของพระยาศรีไสยณรงค์เริ่มขึ้นจากการที่ท่านนำทัพหน้าเข้าต่อสู้กับทัพหงสาวดีโดยพลการในศึกยุทธหัตถีจนเกือบทำให้ฝ่ายอโยธยาต้องเพลี่ยงพล้ำจากนั้นพระยาศรีไสยณรงค์พร้อมกับนายทัพอีกจำนวนหนึ่งได้ถูกส่งไปทำศึกชิงเมืองทวายและตะนาวศรีมาจากหงสาวดีเพื่อไถ่โทษซึ่งแม้ว่าจะสามารถทำได้สำเร็จแต่พระยาศรีก็มิได้รับพระบรมราชโองการให้กลับอโยธยาอีกหากแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีนั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระยาศรีน้อยใจและขมขื่นเป็นอันมากเนื่องจากรู้สึกว่าตนเองถูกลดความสำคัญลงจากที่เคยรับใช้ใกล้ชิดในพระนครกลับต้องมาเป็นเจ้าเมืองชายแดนไม่ผิดกับถูกเนรเทศและก็ด้วยความน้อยใจนี้เองที่ทำให้พระยาศรีไสยณรงค์ตัดสินใจแข็งเมืองต่ออโยธยา ในตอนแรกพระนเรศวรไม่ทรงเชื่อว่าพระยาศรีไสยณรงค์ผู้เป็นข้าหลวงเดิมจะกล้าแข็งเมืองจึงทรงให้ข้าหลวงไปเรียกตัวเข้ามสอบถามทว่าพระยาศรีไสยณรงค์ปฏิเสธทำให้พระนเรศวรทรงให้พระเอกาทศรถยกทัพไปปราบซึ่งหลังจากทัพกรุงเข้าตีไม่นานเมืองตะนาวศรีก็ยอมจำนนพระยาศรีไสยณรงค์ถูกกุมตัวไว้จากนั้นพระเอกาทศรถก็ทรงให้ข้าหลวงเข้ามากราบทูลถามพระนเรศวรว่าจะทรงโปรดฯให้ทำอย่างใดกับพระยาศรีไสยณรงค์ทว่าพระนเรศวรทรงกริ้วที่พระยาศรีไสยณรงค์คิดทรยศจึงทรงโปรดฯให้ประหารชีวิตเสียที่เมืองตะนาวศรีและนี่คือจุดจบของพระศรีถมอรัตน์หนึ่งในทหารเสือแห่งพระองค์ดำ
Credit : http://www.banprak-nfe.com