ความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติศาสนา ถึงขั้นปะทะกันรุนแรง เกิดขึ้นอีกระลอกในรัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตกของพม่า ระหว่างชาวพุทธกับชาวโรฮิงญา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ทำให้ทางการสหรัฐออกมาเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งอย่างทันที หลังจากมีคนตายเพิ่มอีกกว่า 112 ศพ
วันนี้ (26 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางวิคตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า สหรัฐมีความวิตกอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงในรัฐยะไข่และเร่งเร้ารัฐบาลพม่าให้เข้าช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐเดินทางไปเยือนรัฐยะไข่ถึง 5 ครั้ง นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ซึ่งความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวโรฮิงญาปะทุครั้งแรก
ขณะที่ รัฐบาลพม่าเรียกร้องความสงบในรัฐยะไข่ พร้อมเตือนว่า เหตุรุนแรงทางเชื้อชาติศาสนาที่เกิดขึ้นอีกรอบในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีความเสี่ยงทำให้ชื่อเสียงของพม่ามัวหมอง ท่ามกลางการเดินหน้าปฏิรูปประชาธิปไตยในประเทศ ถ้อยแถลงจากทำเนียบประธานาธิบดีพม่าระบุว่า ประชาคมโลกกำลังเฝ้าจับตาการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของพม่า แต่ความไม่สงบในรัฐยะไข่ อาจทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมเสีย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการปะทะของสองฝ่ายทะลุผ่าน100ศพแล้ว นายวิน แมง โฆษกรัฐยะไข่เปิดเผยว่า การปะทะระหว่างชาวพุทธกับชาวโรฮิงญา ที่เริ่มมาตั้งแต่วันอาทิตย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 112 ศพ บาดเจ็บ 72 คน รวมทั้งเด็ก 10 คน ขณะเดียวกัน อาคารบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ 1,948 หลัง ตลอดจนวัดและมัสยิด 8 แห่งถูกทำลาย
ด้าน โฆษกของนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น)เตือนว่า แผนการปฏิรูปของพม่าที่เพิ่งเริ่มต้นน่าจะเป็นอันตราย หากความรุนแรงระหว่างชาวพุทธกับชาวโรฮิงญายังไม่ยุติ เช่นเดียวกับนายโทมัส โอเจีย ควินตานา ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นกล่าวเตือนว่า เหตุรุนแรงด้านเชื้อชาติที่รัฐยะไข่ มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปต่างๆ และความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า ประเด็นสิทธิมนุษยชนควรเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระบวนการปฏิรูปในพม่า.