โฆษกรัฐบาลท้องถิ่นรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 112 คน และบาดเจ็บอีกหลายคนจากเหตุขัดแย้งรุนแรงในชุมชนชาวมุสลิมโรฮิงยาและชาวพุทธทางตะวันตกของพม่า
โฆษกรัฐยะไข่แถลงว่า นับจนถึงเช้าวันนี้มีผู้เสียชีวิตเป็นชาย 51 คนและหญิง 61 คน และว่าผู้เสียชีวิตมีรายงานจากทั้งสองฝ่าย รวมทั้งยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 70 คนจากเหตุขัดแย้งช่วงหลายวันที่ผ่านมา ชาวบ้านหลายคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนหลังปะทะกันล่าสุดในรัฐยะไข่ หลังเกิดความรุนแรงมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลพม่าที่จะปฎิรูปประเทศเพื่อสร้างภาพลักษณ์ในสายตาของต่างชาติ
เจ้าหน้าที่รัฐยะไข่เปิดเผยว่า มีประชาชนทั้งที่เป็นชาวพุทธ และมุสลิม เสียชีวิตในการปะทะกันนับตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. หลังเหตุจลาจลลุกลามไปยังเมืองรัตธา ตวง และเมืองจ๊อกต่อ โดยตำรวจยิงปืนเข้าใส่ประชาชนเพื่อ แม้ว่าจะมีคำสั่งเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลากลางคืทนก็ตาม ขณะที่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
กองกำลังของรัฐพยายามจะเข้าให้ถึงพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนและรักษาความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจสูงขึ้นอีกมาก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ปะทะหลายแห่งที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารที่การเดินทางยากลำบาก นอกจากนั้น ยังมีบ้านเรือน หรืออาคารร้านค้าถูกเผาทำลายอีกนับพันหลังคาเรือน และชาวโรฮิงญาอพยพครอบครัวหนีภัยจากพื้นที่ปะทะหลายพันคน
เหตุรุนแรงครั้งล่าสุด ทำให้สหประชาชาติวิตกกังวลเกี่ยวกับรายงานการเสียชีวิตและผู้ไร้ที่อยู่อาศัยนับพันคนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยนายอโศก นิกัม ผู้อำนวยการสำนักงานยูเอ็นในเมืองย่างกุ้ง ได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ แสดงความวิตกอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ ทั้งการปะทะ การอพยพละทิ้งถิ่นฐาน และการเผาทำลายบ้านเรือน พร้อมกับเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติความรุนแรง และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทางการ เข้าถึงทุกชุมชนหมู่บ้านได้ทันที และโดยไม่มีเงื่อนไข
ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากชาวพุทธกล่าวหาว่าชาวมุสลิม 3 ราย ข่มขืนและสังหารสตรีรายหนึ่ง ก่อให้เกิดเหตุวุ่นวาย และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย บ้านเรือนถูกเผาทำลายนับพันแห่ง