เว็บไซต์ Reuters ได้นำเสนอบทความเรื่อง “ความเป็นมิตรของประเทศไทยลดลงแต่อาชญากรรมจากปืนเพิ่มขึ้น” โดยระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประชาชนถือครองอาวุธปืนมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่าประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งอาชญากรรมและความรุนแรงถึง 4 เท่า
ทั้งนี้่ Reuters ได้ยกตัวอย่างการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากมาย เช่น นักศึกษาอาชีวะตีกันบนรถประจำทางจนนำไปสู่เหตุยิงกันจนเสียชีวิต ข่าวสมาชิกวุฒิสภายิงภรรยาดับคาร้านอาหาร หรือข่าวการฆาตรกรรมชาวต่างชาติ ก็ต่างส่งผลให้ภาพพจน์ธุรกิจท่องเที่ยวและคำกล่าวขานจากชาวต่างชาติที่ยกประเทศไทยเป็น “สยามเมืองยิืม” เสื่อมเสียไปด้วย
นอกจากนี้ Reuters ได้อ้างอิงเว็บไซต์ gunpolicy.org ที่ระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการก่ออาชญากรรมด้วยปืนสูงที่สุดในอาเซียน สถิติในปี 2011ระบุว่าใน 100,000 คนจะมีผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 5.3 ซึ่งมากกว่าฟิลิปปินส์ที่มีเพียงร้อยละ 0.2
บางคนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้ปืนในการก่ออาชญากรรมเริ่มจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้อาวุธต่างๆหาซื้อได้ง่ายขึ้น และแม้จะมีกฎหมายว่าเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่สามารถมีปืนไว้ในครอบครองได้ แต่กระนั้นการเพื่มขึ้นของจำนวนเยาวชนที่มีปืนนั้นก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32 ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา
สถิติยังระบุอีกว่าในประเทศไทยซึ่งมีประชากรกว่า 69 ล้านคน มีผู้ที่ครอบครองปืนอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาตนั้นมีมากถึง 6.2 ล้านคน
อย่างไรก็ดี Reuters ยังยกตัวอย่างบทสัมภาษณ์ของนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวว่าประเทศไทยเปรียบเสมือนฉากในภาพยนตร์คาวบอย ชักปืนกันได้ง่ายๆ เขาเองที่ไม่เคยีปืนมาก่อน ปัจจุบันต้องพกถึง 3 กระบอก ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาตการครอบครองปืนก็มีการรับสินบน
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ข้าราชการไทยได้รับสิทธิ์ส่วนลดในการซื้อปืน และก็มีเจ้าหน้าที่ที่แอบนำปืนไปขายในตลาดมืด ได้ราคาดี
ส่วน พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า อาวุธปืนมาจากชายแดนประเทศทั่วทุกภาค ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคม รัฐมนตรีมหาดไทยของมาเลเซียตำหนิว่ามีการลักลอบนำเข้าอาวุธปืนจากประเทศไทย ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอาวุธปืนในมาเลเซีย