เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า นายกรัฐมนตรีเหวียน เติน สุง ของเวียดนามเตือนว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะทรุดตัวลงสู่ระดับชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่ปี 1999 และได้กล่าวขอโทษในแบบที่เห็นได้น้อยครั้งสำหรับ "ความอ่อนแอ" ของรัฐบาลในการจัดการกับเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันจากปัญหาหนี้สินล้นพ้นในระบบธนาคาร
นายเหวียนกล่าวระหว่างเปิดการประชุมรอบครึ่งปีของสภานิติบัญญัติเวียดนามในวันดังกล่าวนี้ว่า "อัตราการเติบโตของปีนี้จะต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หากดูจากภาวะที่ยากลำบากทั้งภายในและในต่างประเทศ"
นายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์ จากการขยายตัว 5.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราเติบโตที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา โดยในตอนแรก เวียดนามตั้งเป้าเติบโตสำหรับปี 2012 ไว้ที่ 6-6.5 เปอร์เซ็นต์
การประชุมของสมาชิกสภานิติบัญญัติที่ใช้เวลานานนับเดือน มีขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับลมต้านที่รุนแรง โดยอุปสงค์ที่ผ่อนคลายลงทั้งในจีนและในตลาดตะวันตกส่งผลต่อการส่งออกของเวียดนาม ขณะที่ภายในประเทศเองก็ประสบกับปัญหาหนี้เสียทับถมในระบบธนาคาร ซึ่งเป็นผลกระทบที่คั่งค้างมาจากผลักดันของทางการให้มีการปล่อยกู้มากเกินไป ส่วนใหญ่แล้วให้กับวิสาหกิจที่เป็นของภาครัฐจำนวนมาก
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างก้าวร้าวของธนาคารกลางตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว เพื่อรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลบีบคั้นต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทำให้ปัญหาเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับธนาคารหลายแห่ง นายเหวียน ฟาน บินห์ ผู้ว่าการธนาคารกลางเวียดนามเปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคมว่า อัตราส่วนของหนี้เสียคิดเป็น 8.6-10 เปอร์เซ็นต์ในระบบเงินกู้ของภาคการธนาคาร เพิ่มขึ้นจาก 6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสิ้นปี 2011 ขณะที่นักวิเคราะห์อิสระ อย่างเช่นบริษัทฟิตช์เรตติ้งส์ประเมินว่า ตัวเลขที่แท้จริงอาจจะสูงถึง 15 เปอร์เซ็นต์
"ผมขอโทษเป็นการส่วนตัวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและต่อประเทศ สำหรับความอ่อนแอในการจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การควบคุมดูแลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทที่เป็นของภาครัฐ อย่างเช่นกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเรือวินาชิน และบริษัทเดินเรือวินาไลน์ส" นายเหวียนกล่าว
เมื่อเดือนธันวาคมปี 2010 วินาชิน ซึ่งมีหนี้พอกพูนเป็นจำนวนมากถึง 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ผิดนัดชำระหนี้จำนวน 600 ล้านดอลลาร์ที่กู้ยืมมาจากต่างประเทศ และรัฐบาลเวียดนามปฏิเสธที่จะเข้าไปอุ้ม
นายเหวียนกล่าวว่า รัฐบาลจะพิจารณาจัดตั้งบริษัทขึ้นมาจัดการกับปัญหาหนี้เสียในระบบธนาคาร แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านี้ นอกจากนี้นายเหวียนยังเสนอรายงานเป้าทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเวียดนามสำหรับปี 2013 ให้สภานิติบัญญัติพิจารณา โดยประกอบไปด้วยอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ 5.5 เปอร์เซ็นต์ เงินเฟ้อ 8 เปอร์เซ็นต์ การส่งออกขยายตัวที่ 10 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการควบคุมการขาดดุลงบประมาณที่ 4.8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี