ผงะโจ๋เชียงใหม่ สั่งยาบ้าเสพทางเฟซบุ๊ก ตร.ตามรวบทันควันส่งบำบัดทันที เจ้าตัวร่ำไห้กราบเท้าขอโทษแม่ ด้านแม่ก็ปล่อยโฮ ระบุซื้อคอมพ์ให้ลูกหวังจะให้ใช้เรียนรู้ แต่กลับเอาไปสั่งยาเสพ ด้านผบช.ภาค 5 สั่งทีมสืบลุยจับผู้ค้า เอาตัวมาดำเนินคดีให้ได้ เลขาฯ ป.ป.ส.ลุยเอง ทลายโกดังกัญชาที่ขอนแก่น ยึดกัญชาเกือบ 3 ตัน มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท นำเข้าจากลาวเตรียมส่งขายออสเตรเลีย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 10 ต.ค. พล.ต.ต. สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภาค 5 รับรายงานจากพ.ต.อ.วีระชน บุญทวี ผกก.สส.3 บก.ภ.5 ว่า ชุดสืบสวนภาค 5 จับกุมตัวเยาวชนสั่งยาบ้าผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ได้ที่หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาน้ำโท้ง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาชื่อนายนัท(นามสมมติ) อายุ 17 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 10 เม็ด โดยนายนัทสารภาพสั่งซื้อยาบ้าผ่าน เฟซบุ๊ก โดยสั่งซื้อจากนายโอ๊ด บ้านอยู่ ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ในราคาเม็ดละ 170 บาท เมื่อสั่งซื้อแล้วจะนัดจุดรับส่งยาอีกครั้ง เมื่อได้มาก็จะนำมาแบ่งเพื่อนๆ เสพ ซึ่งทำมาหลายครั้ง เพิ่งจะมาถูกจับครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายนัทไปพบกับผู้ปกครอง นายนัทร้องไห้ก้มกราบแม่สำนึกผิด ขณะที่แม่ก็ร้องไห้เช่นกัน พร้อมระบุว่าเสียใจที่ดูแลลูกได้ไม่ทั่วถึง พยายามซื้อคอมพิวเตอร์ให้ใช้จะได้มีความรู้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเอาไปเป็นเครื่องมือสั่งยาเสพติด จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งตัวนายนัทไปบำบัดในฐานะผู้ป่วยต่อไป
ด้านพล.ต.ต.สุเทพ ระบุว่าสั่งการให้ทางตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 5 เร่งขยายผลจับกุมผู้ค้าที่ใช้เฟซบุ๊กเป็นสื่อกลางให้ได้โดยเร็ว เพราะคนเหล่านี้มีพฤติกรรมหลอกลวงมอมเมาเยาวชน และขอให้ผู้ปกครองช่วยกันสอดส่องดูแลบุตรหลานด้วย
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.อ.พงศ พัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ.ขอนแก่น พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผบช.ภ.4 พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.เพิ่มศักด์ ภราดรศักดิ์ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น นายเฉลิมชัย ชละธาร นายอำเภอมัญจาคีรี จ.ขอนแก่น พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไทยพุทธา ผกก.สภ.มัญจาคีรี เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ตชด.23 ตชด.24 ตำรวจน้ำ และกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ร่วมแถลงข่าวจับกุมกลุ่มนายทุนข้ามชาติลักลอบค้ากัญชาล็อตใหญ่ที่โกดังร้างไม่มีเลขที่ของนายสุขุม สุขโข อายุ 45 ปี หลัก ก.ม. 2 ถนนสายมัญจาคีรี-ชัยภูมิ บ้านเขวา ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
พร้อมผู้ต้องหา 1 คนชื่อ นายสวน หรืออ้วน ทักษะชำนาญกิจ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 116 บ้านดงพัฒนา ต.ธาตุนาแวง อ.เมือง จ.สกลนคร เจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่งในหมู่บ้านดงพัฒนา และเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างใน ต.ธาตุนาแวง พร้อมของกลางรถปิกอัพนิสสัน บิ๊กเอ็ม สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน บว 3455 นครราชสีมา กระบะด้านหลังมีผ้าใบคลุม ภายในพบกล่องกระดาษวางทับกัญชาแห้งอัดแท่ง 2 ห่อใหญ่ ตรวจสอบภายในโกดังร้างมีกัญชาแห้งอัดแท่ง 69 ห่อ มีกาบมะพร้าววางทับไม่ให้มีคนเห็นและดับกลิ่นกัญชา
นับรวมเป็นกัญชาแห้งอัดแท่งทั้งหมด 71 ห่อใหญ่ น้ำหนักประมาณ 2,800 ก.ก. ราคาห่อละ 1,200 บาทในประเทศลาว แต่หากนำมาขายในภาคใต้ประเทศไทย ราคาห่อละ 120,000 บาท หากไปขายในประเทศออสเตรเลียราคาห่อละ 1,200,000 บาท รวมมูลค่ากัญชาทั้งหมดที่ส่งไปขายประเทศนอกราคามากกว่า 350-500 ล้านบาท
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่าการจับกุมครั้งนี้มาจากการสืบสวนของป.ป.ส. สืบทราบว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา คนร้ายลำเลียงกัญชาแห้งอัดแท่งประมาณ 2,000 ก.ก. เข้ามาไว้ในโกดังที่อ.มัญจาคีรี อยู่ระหว่างรอการลำเลียงเข้ามาเพิ่มเติมอีกประมาณ 1,000 ก.ก. เตรียมส่งออกไปต่างประเทศ โดยโกดังแห่งนี้อ้างว่าเป็นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งต่างประเทศ และว่าจ้างแรงงานต่างด้าวชาวเวียดนามให้มาทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าบังหน้า แต่มีหน้าที่บรรจุกัญชา จากนั้นจะมีรถยนต์มารับส่งไปท่าเรือ เพื่อส่งขายยังประเทศออสเตรเลีย โดยกัญชาทั้งหมดนำมาจากประเทศลาว
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่าสำหรับเครือข่ายกัญชารายใหญ่กลุ่มนี้ เป็นเครือข่ายเดียวกันที่เคยถูกจับ และยึดกัญชาได้กว่า 3,000 ก.ก. ที่อ.หนองแค จ.สระบุรี เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และเป็นกลุ่มเดียวกับที่จับกุมเฮโรอีน 252 ก.ก. และยาไอซ์ 306 ก.ก. ที่ประเทศออสเตรเลียด้วย หลังจากยึดกัญชาทั้งหมดได้แล้ว จึงติดตามไปจับกุมนายสวน ซึ่งเป็นเอเยนต์สั่งกัญชารายใหญ่ ที่บ้านพักในจ.สกลนคร ทั้งนี้นายสวนให้การปฏิเสธว่าเป็นเจ้าของกัญชาทั้งหมด แต่ยอมรับว่าเป็นคนกลางประสานกับผู้ค้ากัญชาในประเทศลาว ซึ่งทราบแล้วว่ามีผู้เกี่ยวข้องอีก 6 คน บางส่วนอยู่ในกทม. ซึ่งจะติดตามจับกุมทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่านอกจากนี้ยังยึดทรัพย์สินของนายสวน ประกอบด้วย รถกระบะ 1 คัน รถยนต์เก๋ง 4 คัน บ้านพร้อมที่ดิน 2 หลัง ทาวเฮาส์ 1 หลัง สมุดบัญชีธนาคารกรุงเทพ 2 เล่ม สมุดบัญชีธนาคารกสิกรไทย 4 เล่ม ซึ่งมีมูลค่าทั้งหมดประมาณ 10 ล้านบาท และจะตรวจสอบทรัพย์สินของนายสวนเพิ่มเติม เพื่อยึดทรัพย์เพิ่มด้วย
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 04.30 น. ที่บริเวณที่เก็บของกลาง สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อู่คลองสองการาจ ซอยบงกฎ 89 หมู่ที่ 1 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.ต.สมิทธิ มุกดาสนิท ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พ.ต.อ.วรพจน์ ชูเชิด ผกก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี พ.ต.อ.สุทธิโรจน์ ไกรวชิรสิทธิ์ ผกก.สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน เข้าจับกุมตัวแก๊งค้ายาเสพติด ได้ผู้ต้องหา 3 ราย คือ 1.นายจะสือ จะแล อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 173 หมู่ที่ 20 ต.วารี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย 2.นายจะนู จะอือ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ที่ 9 ต.ห้วยชมพู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย และนายชาตรี ปรีชามิตรกูล อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 314 ม.1 ต.วารี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย พร้อมด้วยของกลางยาไอซ์บรรจุห่อด้วยถุงสีดำแพ็กใหญ่ 5 แพ็ก แพ็กละ 12 มัดเล็ก ภายในมียาไอซ์ห่อด้วยกระดาษพลาสติกสีทอง มีโลโก้รูปลูกมะพร้าว และโลโก้กาแฟภาษาจีน รวม 62 มัดเล็ก น้ำหนัก 62 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 180 ล้านบาท
นายชาตรี ผู้ผู้ต้องหารับสารภาพว่า มีคนจ้าง 3 แสนบาท ให้ขับรถไปรับของที่ย่านธัญบุรี ไปส่งที่ปั๊มน้ำมันย่านคลองหลวง แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุชนกับรถจยย.ที่วัดแสงสรรค์ เขตคลองหลวง จึงตกใจพากันหนีโดยทิ้งรถไว้ จากนั้นคนที่จ้างบอกว่าให้ไปตามหาของ ไม่เช่นนั้นจะตามมาฆ่า ต่อมาไปพบรถที่เก็บไว้ที่เก็บของกลางของสภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ย่านคลองสอง อ.คลองหลวง จึงแอบเข้ามาเอายาไอซ์ทั้ง 5 มัด โดยย่องเข้าไปในคืนวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่เกิดสุนัขที่เฝ้าอยู่เห่ากรรโชก จึงต้องถอยกลับไป แล้วย้อนกลับมาเอาของอีกครั้ง โดยนำรถกระบะมาสด้ามาขนของแต่ก็ถูกตำรวจดักจับได้
พล.ต.ต.สมิทธิ กล่าวว่าสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถกระบะโตโยต้า ไมตี้ เอ็กซ์ สีเทาดำ ทะเบียน บร 2337 เชียงราย เฉี่ยวชนกับจยย. แล้วผู้ขับขี่หนีหายไป จึงยึดรถคันเกิดเหตุไปไว้ในที่เก็บของกลางภายในซอยบงกฎ 89 แล้วกลุ่มคนร้ายก็เข้ามาเอายาเสพติด แต่เอาไปไม่ได้เพราะสุนัขที่เฝ้าอยู่เห่าเสียงดัง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจับภาพได้หมด เห็นว่าคนร้ายเอาห่อที่หยิบจากรถคันดังกล่าวไปซุกในพงหญ้า เมื่อตรวจสอบดูพบว่าเป็นยาไอซ์ จึงซ้อนแผนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซุ่มรอ จนกระทั่งเวลา 04.00 น.ของวันที่ 10 ต.ค. คนร้าย 3 คนย้อนกลับมาอีก จึงแสดงตนเข้าจับกุม ทั้งนี้ยาไอซ์ที่จับกุมได้ครั้งนี้มีมูลค่ากว่า 180 ล้านบาท