นิติเวช รพ.จุฬาฯ แถลงผลตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูก 3 ร่าง ที่ขุดพบในไร่ของ "หมอสุพัฒน์" เป็นของคนงานพม่า ที่ถูกระบุว่าถูกหมอยิงเสียชีวิต แต่ไม่พบความเชื่อมโยงกับ 2 ผัวเมีย ด้าน ตร.เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มกับหมอสุพัฒน์ ฆ่าคนตายโดยเจตนา...
กรณีตำรวจจับกุม พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อดีตอายุรแพทย์ รพ.ตำรวจ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องพัวพันกับการหายตัวไปของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาวไร่สับปะรด ใน จ.เพชรบุรี ตั้งแต่ปี 52 ซึ่งญาติเชื่อว่าทั้งสองรายอาจเสียชีวิตแล้ว ขณะที่ตัวของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มีการเขียนจดหมายจากในเรือนจำ ชี้แจงเบื้องหลังถูกกล่าวหา อ้างว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของ นายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชาย เป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลังนั้น
ความคืบหน้าของคดีนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แผนกนิติเวชศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้แถลงผลตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกทั้ง 3 ร่าง ที่ขุดพบภายในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ใน จ.เพชรบุรี ว่าไม่ใช่ของนายสามารถ และ น.ส.อรษา สองสามีภรรยา ที่หายตัวไป แต่ 1 ใน 3 ร่างนั้นเป็นของ นายต้า คนงานชาวพม่า ที่นายกะลาเพื่อนคนงานด้วยกันระบุว่าถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ยิงเสียชีวิตและนำศพไปฝังไว้ โดยผลตรวจตรงกับดีเอ็นเอนายต้าทั้ง 16 จุด ส่วนอีก 2 ร่างไม่มีความเชื่อมโยงกับนายสามารถและ น.ส.อรษา
ขณะเดียวกัน ตำรวจได้นำตัวภรรยาของ นายอีต้า มาจากประเทศพม่า เพื่อมาตรวจดีเอ็นเอหาความเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่ลูก จนได้ผลชัดเจน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการแจ้งเพิ่มเติมข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนากับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์
ส่วนความคืบหน้าการติดตามพยานในคดีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปรับตัว นายโย่ง ชาวกะเหรี่ยง อายุ 24 ปี ที่เคยทำงานอยู่กับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่งย่าน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ มาสอบปากคำ ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7
ในชั้นสอบสวน นายโย่ง ให้การเป็นภาษาไทยว่า เคยเป็นคนงานในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เมื่อหลายปีก่อน โดย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เดินทางไปรับถึงบ้านเกิดในประเทศพม่า แต่พอมาทำงานกลับไม่เคยได้รับเงินเดือน ช่วงนั้นมีคนงานชาวกะเหรี่ยงเข้ามาทำงานในไร่สับปะรดด้วยกันอีก 2-3 คน มี น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เป็นคนดูแลเรื่องความเป็นอยู่ และอนุญาตให้คนงานในไร่เข้าไปดูโทรทัศน์ในห้องพักได้
นายโย่ง ให้การต่อว่า อยู่มาวันหนึ่ง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เข้ามาพบ นายอีต้า หรือต้า เพื่อนคนงานชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า ซึ่งหน้าตาดี นอนดูโทรทัศน์ในห้องพักของ น.ส.วิลสา ตามลำพัง ก็ไม่พอใจคิดว่าภรรยามีอะไรกับคนงาน จึงให้นายกะลา คนงานชาวกะเหรี่ยงในไร่ ไปตามนายโย่งและนายต้า ซึ่งพักอยู่ห้องเดียวกันมาซ้อม และทรมานอย่างหนัก จนทั้งคู่สลบไป พอนายโย่งฟื้นและสังเกตเห็นนายต้ายังไม่ฟื้นก็หนีเอาตัวรอด ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนงานชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ไร่ติดกัน ก่อนหนีกลับพม่า โดยไม่รู้ชะตากรรมของนายต้า จากนั้นในปี 2553 นายโย่งก็ได้กลับมาทำงานในประเทศไทยอีกครั้ง โดยทำพาสปอร์ตถูกต้อง และทำงานเป็นคนงานในโรงงานย่าน อ.พระสมุทรเจดีย์
พ.ต.อ.กฤษณะ ทรัพย์เดช รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 7 (รองผบก.ส.ภ.7) กล่าวว่า คำให้การของนายโย่ง ถือเป็นการให้ข้อมูลของผู้เสียหายที่ถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ทำร้ายร่างกาย ตามที่มีการแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ ที่ สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี และคดียังไม่หมดอายุความ แถมข้อมูลนี้ช่วยให้พยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ชัดเจนและแน่นหนามากขึ้น จนสามารถแจ้งข้อหาเพิ่มอีก 1 ข้อหา คือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ล่าสุด พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) เปิดเผยว่า สามารถสืบพบพยานรายใหม่ ซึ่งเป็นอดีตคนงานชาวพม่าในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่รู้เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับการฆาตกรรมสองสามีภรรยา และรู้สถานที่ฝังศพด้วย ขณะนี้สืบทราบแล้วว่า พยานรายนี้กลัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มาก จึงหลบหนีไปอยู่บริเวณแนวตะเข็บชายแดนพม่า ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปรับตัวมาแล้ว จากนั้นจะพาตัวไปชี้จุดฝังศพสองสามีภรรยาต่อไป.
ที่มา thairath.co.th