(ที่มา : มติชนรายวัน 9 ตุลาคม 2555)
หมายเหตุ - มีผู้ส่งอีเมล์ผ่านเว็บไซต์ www.rajdumnern.net ถึงนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยแนบสาส์นของนายทหารราบระดับนายพลผู้หนึ่งที่เขียนลงเว็บบอร์ดของอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 11 แสดงความไม่พอใจบทความเรื่อง "7 บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ 14-19 พฤษภาคม พ.ศ.2553" ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 โดยวิจารณ์บทความดังกล่าวว่าเป็นการอวดโอ้แผนการสังหารประชาชนมือเปล่าเปรียบเหมือนการ "รุมยิงนกในกรง"
ผมขออนุญาตเพื่อนๆ อีกครั้งหนึ่งครับ ด้วยที่ผมคงต้องเขียนอะไรแรงๆ ลงไปในตอนนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่อดสูและสมเพชในบุคคลหลายคนที่ไม่ควรจะเป็นได้ถึงตำแหน่งเหล่านั้น ทั้งพี่และน้องเหล่านั้นพูดเหมือนกันว่า "มันเป็นทหารกันหรือเปล่าวะ" สามารถออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธสงครามที่จัดหามาจากภาษีอากรของประชาชน สังหารประชาชนมือเปล่า แล้วยังมีหน้ามาวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิบัติการนั้นว่าสำเร็จอย่างเลอเลิศสรรเสริญและชื่นชมกันราวกับ "วีรบุรุษสงคราม" ผู้พิชิตชัยชนะในสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติของตนเองที่มีแต่มือเปล่า และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่
ผมมีความภาคภูมิใจมากในอดีตที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในทั้ง 2 หน่วยนี้ คืออาจารย์อำนวยการส่วนวิชายุทธวิธี รร.เสนาธิการทหารบก และก่อนหน้าที่จะเป็นพลเอกนี้ผมเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นตำแหน่งที่เขาขนานนามกันว่า "ครูใหญ่ของกองทัพบก" ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหน่วยที่ผมภาคภูมิใจจะทำเอกสารทางวิชาการออกมาได้แบบนี้
ผมอยากจะถามว่า พวกท่านมีความรู้สึกเป็นวีรบุรุษและมีความภาคภูมิใจมากนักหรือกับความเป็นจริงเหล่านี้
1.ท่านใช้กำลังทหาร 4 กองพล ซึ่งเท่ากับ 1 กองทัพน้อย (corps) ที่กองทัพ US ใช้เป็น Main effort (ME) ในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากการยึดครองประเทศคูเวต แต่พวกท่านเอามาใช้ล้อมปราบประชาชน ที่ไม่มีอาวุธ และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่
2.ท่านใช้พลซุ่มยิงทั้งกองทัพ รุมยิงเป้าหมาย ผู้ชุมนุม ที่ถูกล้อมอยู่ ดุจดังยิงนกในกรง
3.ท่านประกาศว่าเป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติ ด้วยกำลังรบผสมเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้า ยานเกราะ หน่วยบิน พลซุ่มยิง หน่วยรบพิเศษ หน่วยส่งทางอากาศ ขาดแต่อาวุธปืนใหญ่ นี่ยังไม่นับหน่วยข่าวกรองอีกจำนวนมาก
4.ท่านมีความภูมิใจว่ามีการวางแผนประณีต มีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี
5.ท่านให้ข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ มีการสั่งและควบคุมการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์แบบตามลำดับสายการบังคับบัญชา
6.ท่านชี้ให้เห็นถึงการใช้กระสุนจริงเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของทหาร โดยเฉพาะมีการประกาศเขตการใช้กระสุนจริง ใน down town ของ กทม.
ผมคิดว่าท่านกำลังจะทำให้นายทหารรุ่นหลังๆ เข้าใจผิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นบทบาทและหน้าที่ของทหารของชาติอย่างแท้จริง หรือก็เพราะไอ้ชัยชนะแบบนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลงคิดว่ารบเก่งกันทั้งกองทัพอยู่ทุกวันนี้ เคยคิดในมุมมองอื่นกันบ้างหรือไม่ว่า เหตุการณ์นี้ต้องทำบทเรียน แน่นอน แต่ทำอีกด้านหนึ่ง คือวิจารณ์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อีก และถ้ามันเริ่มมีอาการเราจะหยุดอาการเหล่านั้นตั้งแต่แรกอย่างไร
บทวิเคราะห์ของ ยศ.ทบ. กรณีนี้ไม่ได้ให้อะไรแก่สังคม นอกจากการขยายช่องว่างของความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้นไปอีก และได้คิดกันบ้างหรือเปล่าว่า ข้อเท็จจริงที่ท่านเอามาเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์นั้น มันจะกลับมาเป็นพยานหลักฐานว่า บรรดาฝ่ายการเมืองและผู้นำทหารกล่าวเท็จกับสาธารณชนไว้อย่างไรบ้าง แล้วมันจะนำไปฟ้องร้องเป็นคดีความกันได้มากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ มันเป็นการยอมรับกับผู้ชุมนุมว่ารัฐบาลไม่เคยมีความมุ่งหมายในการเจรจานอกจากการสลายการชุมนุมเท่านั้น จึงเท่ากับส่งสัญญาณให้ฝ่ายชุมนุมตระหนักว่า ในการชุมนุมครั้งต่อไปไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ พวกเขาจะต้องถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและด้วยกำลังทหารแน่นอน ดังนั้นจะเป็นอะไรไปถ้าพวกเขาจะนำอาวุธประจำบ้านตามมีตามเกิดติดตัวมาด้วยเพื่อป้องกันตนเอง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น ผมไม่อยากนึกถึงภาพเลย
(ปกปิดชื่อเพื่อความเป็นส่วนตัว)
พลเอก, ทหารราบ
30 มิ.ย. 54
......................................
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้อยู่ในเหตุการณ์) เข้าชี้แจงคณะอนุกรรมาธิการ การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน เกี่ยวกับชายชุดดำ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่รัฐสภา
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด
โฆษกกองทัพบก
เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน 2553 ที่ต้องใช้รถเกราะเพื่อป้องกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ จากผู้ที่ใช้อาวุธสงครามที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ โดยในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการใช้กระสุนซ้อมรบเพื่อปฏิบัติภารกิจ มีการใช้กระสุนจริงในบางโอกาส เช่น ยิงขึ้นฟ้าในบางโอกาส หรือมีชายชุดดำหรือคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ถืออาวุธสงคราม ก็จำเป็นต้องทำ
ปืนเราถูกปล้นไป 4 ครั้ง สรุปมีปืนทาโวร์ 25 กระบอก เอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก ปืนลูกซอง 39 กระบอก ที่เหลือเป็นซองกระสุนและกระสุนอีกจำนวนมาก จากทั้งหมดได้รับปืนเอ็ม 16 คืนมาเพียง 1 กระบอก คือกระบอกที่นายคำหล้า ชมชื่น แย่งยื้อมาจากทหารที่สามเหลี่ยมดินแดง ต่อมามีภาพนายคำหล้าถือปืนปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุม และสุดท้ายก็ตรวจพบปืนกระบอกดังกล่าวอยู่ใต้ฐานพระในวัดปทุมวนาราม แสดงให้เห็นว่าภายในวัดก็มีอาวุธสงครามอยู่ ไม่ใช่แค่กระบอกเดียว
ในการตรวจค้นของตำรวจและดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ก็พบจำนวนมาก กองทัพจึงยืนยันมาตลอดว่าผู้ที่เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนารามนั้นเป็นเรื่องที่คลุมเครือยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครยิง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งเหมารวมว่าเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้กระทำ เพราะในวัดปทุมวนารามก็มีอาวุธอยู่เช่นเดียวกัน และคณะกรรมการ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) ก็ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบว่าในวันนั้นมีกลุ่มชายชุดดำวิ่งผ่านแยกเฉลิมเผ่าเข้าไปในวัดปทุมวนารามเช่นเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ของดีเอสไอจับชายชุดดำได้หลายคน หลายคดี ชื่ออะไร นามสกุลอะไร และคนที่ถูกจับดำเนินคดีก็เคยนั่งร่วมชุมนุม ฝึกบุคคลท่ามือเปล่า ฝึกเล็งอาวุธปืน ที่สนามหลวง ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นศาล
ประเด็นคนขับรถตู้ที่บรรทุกชายชุดดำที่ยิงเอ็ม 79 เข้าไปปรากฏตัวในการชุมนุมบริเวณสี่แยกคอกวัว คนขับชื่อนายธนเดช เอกอภิวัฒน์ ซึ่งหลบหนีหมายจับของดีเอสไอ หลังเหตุการณ์ มารดานายธนเดชเสียชีวิตก็ยังมีพวงหรีดจากแกนนำเสื้อแดงรวมทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน ไม่ทราบว่าท่านไปรู้จักกันตอนไหน
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ามีการมอบอาวุธที่แสดงให้เห็นบนเวทีเสื้อแดงให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้วนั้น ก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ตำรวจคนใด ใครเอาไปก็ขอให้เอามาคืนด้วย ปืนที่ยังไม่มีการคืน ได้แก่ ปืนทาโวร์ 25 กระบอก ปืนเอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก ปืนลูกซอง 39 กระบอก และกระสุนปืนกับซองกระสุนอีกจำนวนมาก
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
การที่ทหารเข้ามาไม่ทราบว่าจะมาทำอะไรกับผู้ชุมนุม มีรถเกราะมา มันเป็นงานสงคราม เขาไม่ได้มาทำสงครามกับทหาร เขาอยู่ในฐานะภาคประชาชน ไม่มีประเทศไหนที่เขาจะสลายฝูงชนโดยใช้รถเกราะ อาวุธปืนหนัก ใช้ทหารไม่ได้ ต้องใช้ตำรวจ แสดงให้เห็นเจตนาว่ารัฐบาลทำให้เกิดอะไรขึ้นกับประชาชนพวกหนึ่ง รัฐบาลอาจไม่เห็นว่าผู้ชุมนุมเป็นพวก แต่ก็ต้องดูแล ไม่ใช่ใช้กำลังทหารลูกเดียว
ท่านใช้คำว่าปล้นปืนจะถูกต้องไหม ถ้าใช้คำว่าแย่งชิงก็อาจไม่เป็นไร ส่วนเรื่องอาวุธปืนที่ถูกแย่งไป ก็เพิ่งทราบในวันนี้ว่ายังไม่มีคืนให้กับทหาร รู้สึกตกใจและยืนยันว่าจะช่วยทำเรื่องนี้จะช่วยสืบให้ว่าปืนทั้งหมดอยู่ที่ใครบ้าง
ส่วนเรื่องชายชุดดำนั้นผมไม่ทราบว่ามีชายชุดดำอยู่ในการชุมนุมจริงๆ แต่ทั้งนี้ไม่มีประเทศใดในโลกที่ใช้ทหารนำอาวุธหนัก รถเกราะสายพานลำเลียง เข้ามา
สลายการชุมนุม ต่างประเทศจะใช้ตำรวจควบคุมการชุมนุมแทน