จิตใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร เมื่อพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย
เหลือเวลาอยู่บนโลกอีกไม่นาน แต่ก็ยังมีลูกเล็ก ๆ ที่ยังต้องคอยดูแล ห่วงลูกก็
ห่วง แต่สุขภาพก็ดูจะสู้ไม่ไหว แล้วจะทำอย่างไรดี
เรื่องราวสุดรันทดนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวโคลสตัน ครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่นซึ่ง
อาศัยอยู่ในมณฑลครัมเบีย ประเทศอังกฤษ พวกเขาดูเป็นครอบครัวที่มีความสุข และ
สมบูรณ์ดี คุณพ่อพอล อายุ 37 ปี เป็นหัวหน้าภาควิชาของโรงเรียนประถมแห่ง
หนึ่ง ส่วนคุณแม่แคลร์ ก็เป็นตำรวจหญิง ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวด้วยกันอย่างละ
คน อายุ 6 และ 4 ขวบ ตามลำดับ ฟังดูแล้วนี่น่าจะเป็นช่วงชีวิตที่คนเป็นพ่อแม่กำลังมี
ความสุขที่สุด เพราะเด็ก ๆ ต่างอยู่ในวัยกำลังน่ารัก ส่วนตัวเองก็อยู่ในอายุที่มีกำลังวังชา
แข็งแรง ไม่แก่ไม่ชรา แต่ทว่าโรคร้ายที่คืบคลานมาเงียบ ๆ ก็ได้พรากความสุขของ
พวกเขาไป
หน้าร้อนปีที่แล้ว จู่ ๆ พอลก็รู้สึกหน่วงที่ขาซ้าย ทำให้เคลื่อนไหวตัวลำบาก
เขาต้องกะเผลกทำงานด้วยขาขวาอยู่พักใหญ่ จนเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ขณะ
กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่บนลู่วิ่ง เขาก็รู้สึกว่าอาการหน่วงลามไปถึงขาขวาด้วย ส่วนกล้าม
เนื้อทั้งแขนสองข้างก็ดูจะอ่อนแรงลงเช่นกัน
พอลได้เข้าพบแพทย์มาตั้งแต่เริ่มมีอาการแล้ว แต่ผลวินิจฉัยที่แน่ชัดเพิ่งจะออก
มาในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหัวใจแทบสลาย เมื่อแพทย์แจ้ง
ว่าเขามีอาการของโรคเซลล์ประสาทการเคลื่อนไหวผิดปกติ หรือโรคเอ็มเอ็นดี
(Motor Neurone Disease, MND) ซึ่งเป็นอาการที่เซลล์ประสาทไม่สามารถสั่ง
งานกล้ามเนื้อได้ ทำให้มีอาการแขนขาอ่อนแรง หายใจลำบาก กลืนอาหารลำบาก เป็น
โรคเดียวกับที่ให้ สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ระดับโลกเป็น ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่บนรถเข็น ซึ่ง
ปัจจุบันยังไม่มีหนทางรักษา ทำได้เพียงให้ยาประทังอาการไม่ให้ลุกลามเร็วเกินไป
เท่านั้น
ผลกระทบของโรคเอ็มเอ็นดีในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นแตกต่างกันออกไป แต่
สำหรับกรณีของ พอล แล้ว แพทย์บอกว่าเขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-5 ปีนี้
เท่านั้น
แค่ข่าวนี้ก็โศกเศร้าเกินไปสำหรับครอบครัวโคลสตันอยู่แล้ว แต่เคราะห์ร้าย
จะยิ่งเล่นงานหนักหน่วง เพราะ แคลร์ ผู้ที่น่าจะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว
แทนสามี ก็กลับป่วยด้วยโรคร้ายที่สามารถคร่าชีวิตเธอได้เช่นกัน โดยในปี
2009 เธอถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แม้จะรักษาตัวด้วยการผ่าตัด และทำ
เคมีบำบัดไปแล้ว 2 ครั้ง จนก้อนเนื้อร้ายในหลอดอาหารนั้นหายไป แต่แพทย์ก็บอกให้เธอ
ทำใจเสียแต่เนิ่น ๆ แล้วว่า เธอมีโอกาสเหลืออีก 30% ที่จะอยู่ต่อได้อีกราว 5 ปี
เพราะมะเร็งนั้นแฝงตัวอยู่ในระบบน้ำเหลือง ซึ่งนั่นหมายความว่ามันอาจก่อตัวขึ้น
เป็นมะเร็งในจุดอื่น ๆ อีกได้ ซึ่งแพทย์เองก็ยังตรวจไม่พบ
เรียกได้ว่าปัจจุบันนี้ สามีภรรยาทั้งสองเหมือนจะนับวันรอพบกับชะตากรรมสุดท้ายของตัวเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าใครจะจากไปก่อนกัน และเมื่อเขาทั้งสองต่างลาจากโลกนี้ไปแล้ว ใครกันเล่าที่จะดูแลลูกน้อยทั้งสองคนที่ยังเด็กอยู่เหลือเกิน ในตอนนี้ทั้งคู่จึงต้องเตรียม
การทำในสิ่งที่พ่อแม่ของเด็กวัยนี้ไม่เคยคิดจะทำกัน นั่นคือการหาผู้อุปถัมภ์ลูก ๆ
พอลและแคลร์ต้องไปยังสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้า และถามคำถามสัมภาษณ์เพื่อ
เฟ้นหาผู้ที่จะมาดูแลลูก ๆ ต่อจากพวกเขา แต่ก็ยังโชคดีที่ทั้งคู่มีเพื่อน ๆ และ
ครอบครัวที่ดี ซึ่งได้เปิดงานประมูลเพื่อนำรายได้มาเป็นทุนสำรอง เอาไว้ใช้ยามที่พวกเขา
ทั้งคู่ป่วยหนักจนไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป
ไม่อยากจะเชื่อว่าพอได้ทราบเรื่องราวของพอลและแคลร์แล้ว เมื่อวกกลับไป
ดูภาพถ่ายครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นสดใส กับรอยยิ้มของทุก ๆ คนในบ้านอีกครั้ง
จะทำให้เราสะเทือนใจได้มากถึงเพียงนี้ เพราะนี่เป็นภาพความสุขของครอบครัว
โตลส์ตันที่คงจะดำเนินต่อไปได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ..
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก medikforum.ru