ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีนางสุภานี ศรีสุภะ อดีตเจ้าแม่พัฒน์พงษ์ วัย 75 ปี
ที่ตกอับ ก่อนออกมาเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนว่า ถูกลูกหลานไม่ดูแลและต้องออกจากบ้าน
พักที่อาศัยอยู่กับหลานสาวคนหนึ่งภายในสิ้นเดือนนี้ ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา (27 ก.ย.)
หลานสาวคนดังกล่าวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านทีวีช่องหนึ่งว่า นางสุภานี
แต่งเรื่องขึ้น ที่ผ่านมาดูแลนางสุภานี มาตลอดไม่เคยทิ้งขว้าง และไม่เคยไล่ออกจากบ้าน
แต่ก็ไม่สามารถรับภาระเลี้ยงดูได้อีกต่อไป จึงทำให้เพื่อนบ้านนางสุภานี ที่ติดตามการให้
สัมภาษณ์ในครั้งนี้ไม่พอใจ ติดต่อผ่านสื่อมวลชนว่าพร้อมที่จะออกมายืนยันเรื่องราวที่เกิด
ขึ้น
ทั้งนี้นางสุภานี ฉายาเจ้าแม่พัฒน์พงษ์ เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา ได้เล่าถึงการประกอบ
อาชีพในย่านพัฒน์พงษ์ในสมัยนั้นว่า เดิมตนเองเคยมีครอบครัวและมีลูก 4 คน ซึ่ง
ปัจจุบันก็มีอาชีพมั่นคงใหญ่โตกันทุกคน บางคนเป็นถึงผู้จัดการในบริษัทสุราชื่อดัง
ระดับประเทศ ก่อนที่จะเลิกกับสามีกันคนเก่า แล้วไปแต่งงานกับชาวอังกฤษ และย้ายไป
อยู่ด้วยกันที่อังกฤษ กระทั่งมีลูก (ปัจจุบันเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินแห่งหนึ่ง) ตนทน
คิดถึงบ้านไม่ได้จึงพาลูกอายุได้ประมาณ 4-5 ขวบ หนีกลับประเทศไทย และขณะนั้นตนมี
เงินพอสมควร
เมื่อกลับมาเมืองไทยได้ติดต่อขอทำบาร์ในพื้นที่ย่านพัฒน์พงษ์ ซึ่งเจ้าของในสมัยนั้นคือ
คุณอุดม พัฒนพงษ์พานิช ซึ่งก็รู้จักกัน โดยคุณอุดม ได้จัดการหาสถานที่และดำเนินการ
ให้จนเสร็จสรรพทุกอย่าง คิดค่าเช่าในสมัยนั้นเดือนละ 20,000 บาท โดยเปิดอยู่สองร้าน
คือ โทนี่บาร์ และเสาวณีย์บาร์ โดยการทำกิจการในสมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก ตนเองมี
พร้อมทุกอย่างมีเงินใช้อย่างสบาย ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากลูกค้าซึ่งเป็นชาวต่างชาติ
เนื่องจากร้านของตนเองถือว่ามีระดับ รับลูกค้าเฉพาะที่เป็นสมาชิกและเป็นชาวต่างชาติ
เท่านั้น
แต่เมื่อลูกสาวโตขึ้นจนอายุ 13 ปี จึงไม่อยากให้มาคลุกคลีกับบรรยากาศแบบนั้นตนจึง
เลิกกิจการ โดยเงินทองก็มีเหลืออยู่หลายสิบล้านบาท ก็อยู่กันอย่างสบายไปเที่ยวต่าง
ประเทศเป็นว่าเล่น ให้ลูกให้หลานบ้าง ถูกโกงไปบ้าง แต่ก็ยังมีเงินเหลือพอที่จะซื้อบ้าน
ในราคาร่วม 8 ล้านบาท อยู่กับลูกสาวและหลาน จนกระทั่งมีปัญหาเพียงเล็กน้อย
เท่านั้น ที่ตนไม่ทราบว่าลูกกลับมาบ้านในตอนกลางคืนจึงไม่ได้ลงไปเปิดบ้านให้
ซึ่งลูกนั่งรอหน้าบ้านตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 3 หลังจากนั้นลูกก็ไม่พูดด้วยอีกเลย จนตน
รู้สึกอึดอัด และขอให้หลานมารับไปอยู่ด้วย ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าบั้นปลายของชีวิตจะเป็น
แบบนี้
เมื่อมาอยู่กับหลานคิดว่าลูกจะมาตามกลับ แต่ลูกกลับไม่สนใจ สุดท้ายหลานคนแรกก็ไม่
ต้องการให้อยู่ด้วย จึงส่งตนเองมาอยู่กับหลานอีกคนที่จังหวัดลำปาง และวันนี้หลานคน
ดังกล่าวก็ไม่ต้องการให้อยู่ด้วยอีก โดยบอกว่าพี่สาวไม่ต้องการให้อยู่ และให้ตนเองออก
จากบ้านไปภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งตนเองไม่มีทรัพย์สินใดๆ ติดตัวเลย แม้แต่ข้าวปลา
อาหารเพื่อนบ้านต้องหาให้กิน จนกระทั่งเพื่อนบ้านทนเห็นสภาพไม่ไหว จึงแจ้งเรื่องให้
สื่อมวลชนจนกลายเป็นข่าวเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้พยายามติดต่อกับลูกสาวเพื่อให้รับกลับบ้าน แต่ได้รับการ
ปฏิเสธ สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงได้ติดต่อกับศูนย์สงเคราะห์คนชราที่จังหวัดลำปาง เพื่อให้
นางสุภานีเข้าไปพักอาศัยเป็นการชั่วคราวก่อน ซึ่งนางสุภานี เต็มใจที่จะเข้าไปอยู่ที่บ้าน
พักคนชราแทน โดยบอกเพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของลูก แต่เป็นความผิดของ
ตัวเองที่เลี้ยงลูกแบบตามใจ จนทำให้ลูกเป็นแบบนี้ และเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับลูกทุกคน
ตนขอเข้าไปใช้บั้นปลายของชีวิตภายในบ้านพักคนชรา