ขอขอบคุณภาพประกอบจาก renegadetalk.fm
รายงานจากเว็บไซต์เดลิเมล ระบุว่า วันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา
ศาลประจำนครลอสแองเจลิส ได้อ่านคำพิจารณาโทษให้นาย เดวิด
เวียนส์ พ่อครัววัย 49 ปี มีความผิดฐานฆาตกรรมโดยมิได้มีการ
ไตร่ตรองล่วงหน้า หลังจากก่อเหตุอำพรางศพนาง ดอว์น เวียนส์ ภรรยา
ที่เขาพลั้งทำให้เธอเสียชีวิต ด้วยการนำร่างใส่หม้อตุ๋นขนาดใหญ่ต้ม
นาน 4 วัน จนชิ้นส่วนร่างกายเปื่อยยุ่ยเหลือเพียงแต่โครงกระดูก
เดวิด ถูกเจ้าหน้าที่จำรวจจับกุมตัวได้ที่หน้าผาแห่งหนึ่ง ในปี 2011 ขณะที่อยู่กับ
แฟนคนใหม่โดยเขาได้กระโดดลงมาจากหน้าผาด้วยอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นเจ้า
หน้าที่แสดงตัวขอเข้ามาพูดคุย การโดดลงมาครั้งนั้นทำให้เข้าได้รับบาดเจ็บต้องเข้า
โรงพยาบาล และไม่สามารถใช้งานขาทั้งสองข้างได้ จนต้องนั่งรถเข็นมาที่ศาลเพื่อรับฟัง
การอ่านคำพิพากษา
จากการสอบสวนในคราวแรก เดวิดปฏิเสธไม่รู้เห็นเรื่องการหายตัวไปของภรรยา
โดยบอกว่า ดอว์น ทะเลาะกับเขาเรื่องขโมยเงินร้านอาหารที่เขาทำอยู่ แล้วหนีไปอยู่ที่รัฐ
ฟลอริดา แต่เจ้าหน้าที่ก็จับพิรุธได้ เนื่องจากข้าวของส่วนตัวรวมทั้ง
กระเป๋าสตางค์ของเธอยังคงอยู่ที่บ้านของเดวิดสุดท้ายเดวิดจึงได้รับสารภาพ
แต่โดยดีว่า เขาทำให้ภรรยาเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ และอำพรางศพของเธอด้วยการจับ
ต้มในหม้อตุ๋น
ตามคำให้การจากเทปสอบปากคำของนายเดวิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ได้นำมา
เปิดประกอบการอ่านพิจารณาคดี ในวันที่ 27 กันยายน ระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน
คืนวันที่ 18 ตุลาคม 2009โดยนางดอว์นผู้เป็นภรรยาเข้ามาเซ้าซี้กวนใจ ในขณะที่
เขากำลังง่วงนอนและต้องการพักผ่อนเป็นอย่างมาก หลังจากได้ดันตู้เสื้อผ้ามาปิด
ประตูห้องเพื่อไม่ให้เธอเข้ามากวนใจแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้ลงมือมัดตัวและปิดปาก
เธอด้วยเทปกาว ก่อนจะเข้านอนไป และตื่นมาพบว่าภรรยาของตนเองได้เสียชีวิต
ไปแล้ว
จากนั้นเขาจึงอำพรางศพของภรรยา ด้วยการนำเธอใส่หม้อตุ๋น
ขนาดใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟและใช้เวลาต้มนานถึง 4 วัน จนชิ้นส่วนร่างกาย
เปื่อยยุ่ย จากนั้นจึงกรองเอากระดูกและกะโหลกศีรษะออก น้ำที่ได้จากการ
ต้มนั้น เขานำมันไปเทที่บ่อดักไขมันที่ร้านอาหารของตนในเมืองโลมิต้า โครงกระดูกใส่ถุง
ขยะนำไปทิ้ง ส่วนกะโหลกศีรษะเขาได้นำไปเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังที่บ้านแม่ของตัวเองใน
เมืองทอร์แรนซ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นที่บ้านหลังดัง
กลาวก็ไม่พบกะโหลกศีรษะของเหยื่อ ตามที่นายเดวิดกล่าวอ้างแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งปากคำคนสำคัญของเหตุการณ์ ได้แก่ แจ็คเกอรีน ลูกสาววัย
22 ของ เดวิด และ ดอว์น ซึ่งให้การว่า พ่อของเธอได้สารภาพเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ฟัง
โดยพูดเช่นเดียวกับที่เขาได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ยังให้การเพิ่มเติมด้วย
น้ำตาว่า พ่อของเธอยังเคยพูดให้ดูตลกด้วยว่า "ถ้าอยากจะกำจัดใครสักคน ลองเอา
มาทำอาหารดูสิ รับรองว่าจะไม่เหลือชิ้นส่วนอะไรเลย" และยังให้เธอใช้โทรศัพท์ของ
แม่ ส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า "ฉันดอว์นนะ ตอนนี้อยู่ฟลอริด้า ฉันจะมา
เริ่มต้นใหม่ที่นี่แหละ" และเธอได้ทำลายโทรศัพท์นั้นทิ้งไป เพื่อช่วยปกปิดการทำผิด
ของพ่อด้วย แจ็กเกอรีนยังเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับนางดอว์น ผู้เป็นแม่ของตนเองด้วยว่า
ดอว์นเองก็ไม่ได้ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบนัก เธอติดเหล้าอย่างหนัก และเสพยา โดยบอกว่า
เธอเคยเห็นพ่อกับแม่ร่วมกันเสพโคเคนด้วย
ส่วนเพื่อนสนิทของสามีภรรยาคู่นี้ ผู้ได้รับข้อความปลอม ๆ จากโทรศัพท์ของเหยื่อ
ก็ปรากฏตัวในชั้นศาลด้วย โดยเธอเป็นผู้เข้าแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงการหายตัวไปของ
ดอว์น เพื่อนสนิท จนเกิดการสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาได้ดังกล่าว
"เขาทำอย่างกับเธอเป็นแค่เนื้อก้อนนึง" นางคาเรน แพทเทอสัน
กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า
"ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันกำลังต่อสู้เพื่อเพื่อนที่ฉันรัก และได้พบว่าเพื่อน
สนิทอีกคนกลายเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด" อย่างไรก็ดี นางแพทเทอสัน ยัง
คงยืนยันว่า แม้นายเดวิดจะเข้าไปรับโทษในคุก แต่เธอก็ยืนยันว่าไม่รังเกียจที่จะเข้าไป
เยี่ยมเขา โดยบอกว่าที่ผ่านมาค่สามีภรรยาทั้งสองนั้นรักกันดี และทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีกับ
เธอมาก ๆ "อย่างน้อยฉันจะเป็นคนที่ทำให้เขาระลึกได้ว่า ดอว์นรักเขามาก
แค่ไหน และพวกเขาเคยรักกันมากเท่าไหร่"
แม้จะโดนตัดสินโทษว่าเป็นการฆาตกรรมโดยมิได้ไตร่ตรองล่วงหน้า แต่ก็ช่างเป็น
คดีที่น่าสยดสยองเหลือเกิน