เดวิด โคโรซ เหตุการณ์ ฆาตกรรมหมู่ ผู้คลั่งลัทธิ

 

 

 เดวิด โคโรซเป็นผู้นำกลุ่มบรานซ์ ดาวิเดียนที่มีชีวิตไม่สวยหรูนัก เขาเกิดเมื่อ17 สิงหาคม 1959 ที่ฮิวสตัน เท็กซัส มีชื่อเดิมว่าเวอร์นอน โฮเวลล์ พ่อทอดทิ้งเขาในขณะยังเด็ก ต้องอยู่กับแม่ที่ติดเหล้าและชอบใช้ความรุนแรง และเมื่อแม่ได้แฟนใหม่ ก็เขี่ยเขาไปอาศัยอยู่กับย่า

                ชีวิตวัยเด็กของเดวิดนั้นช่างขมขื่นนัก เขาโดดเดี่ยว อีกทั้งการศึกษานั้นต่ำต้อย เมื่อโตขึ้นหน่อยก็เป็นเพียงนักดนตรีที่เล่นกันในคลับแถบแคลิฟอร์เนีย

                ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เวอร์นอน โฮเวลล์ ได้เข้าร่วมลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียน ซึ่งเป็นลัทธินิกายหนึ่งที่แยกสายมาจากโบสถ์ เซเวนธ์ เดย์ แอดเวนติสต์(Seventhday Aduentist) ที่ก่อตั้งมาเมื่อศตวรรษที่ 19

                ลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนนั้นก่อตั้งโดยวิกเตอร์ ฮูเตฟฟ์(Victor Houteff) เป็นชาวบัลกาเรียที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา แรกเดิมฮูเตฟฟ์และเหล่าสาวกลัทธิเซเวนธ์ เดย์ แอดเวนติสต์ก่อตั้งโบสถ์ในลอส แองเจลิส ต่อมาก็บ้ายปักหลักมาในหุบเขาคาเมลในเท็กซัส และเรียกโบสถ์ของพวกตนใหม่ว่า “ดาวินเดียน เซเวนธ์ เดย์” ฮูเตฟฟ์เสียชีวิตในปี 1955 และทิ้งโบสถ์แห่งนี้กับภรรยาฟลอเรนซ์มาดูแล ในปี 1959 ฟลอเรนซ์สูญเสียความศรัทธาจากเหล่าสมาชิกลัทธิเนื่องจากคำทำนายว่าวันพิพากษาโลกจะเกิดขึ้นเมื่อปี 22 เมษายน 1959 ซึ่งปรากฏว่าไม่เกิดขึ้นจริงและผิดพลาด ทำให้สมาชิกส่วนหนึ่งโดยมีผู้นำชื่อเบนจามิน โรเดน(Benjamin Roden)ก่อตั้งลัทธิใหม่เป็น “บรานช์ ดาวินเดียน” มาตั้งแต่บัดนั้น โดยมีความเชื่อเรื่องวันพิพากษาโลกเป็นพื้นฐาน

                ในปี 1978 เบน โรเดนก็เสียชีวิต และภรรยาของเขาโลอิสรับช่วงต่อ โดยเขาเปลี่ยนความเชื่อให้กับเหล่าสาวกว่า พระผู้ลงมาปลดปล่อยหรือพระเมสซิยาห์ นั้นเป็นผู้หญิง และเธอก็อ้างว่าเธอนั้นก็คือพระเมสซิยาห์

                ในปี 1981 เวอร์นอน โฮเวลล์ เข้ามาเป็นสมาชิกบรานช์ ดาวินเดียน ซึ่งเดิมที่พ่อแม่ของเขาเป็นผู้ชื่อนิกายนี้อยู่แล้ว ประกอบด้วยรูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาและอายุยังน้อยเขาสามารถเข้าถึงตัวผู้นำลัทธิโลอิสจนผูกมัดใจเธอ จนมีลูกชายคนหนึ่งชื่อ จอร์จ โรเดน(Grorge Roden) และเขาก็จัดการเขี่ยจอร์จและภรรยาของเขาออกไป ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความทะเยอทะยานของเขา

                ในปี 1984 เวอร์นอน โฮเวลล์ แต่งงานกับราเชล โจนส์(Rachel Jones) สาวน้อยอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น เนื่องด้วยเขาหน้าตาดี บุคลิกดี และมนุษย์สัมพันธ์เยี่ยม เขาเริ่มสร้างบารมีด้วยการพูดโน้มนาวผู้คนรอบข้าง จนสมาชิกลัทธินับถือเขากว่าเจ้าลัทธิโลอิสเสียอีก ทำให้โฮเวลล์ และโลอิสมีความขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆจนกระทั้งทั้งสองแยกจากกันในที่สุด

                ในปี 1986 ดูเหมือนว่าโฮเวลล์ นั้นเป็นชายที่ชอบมีภรรยาหลายคน เพราะในปีนั้นเขารับเด็กสาวสองคนมาเป็นภรรยาของเขา คาเรน ดอยส์(Karen Doyle) อายุ 13 ปี และน้องสาวของราเชล โจนส์ อายุเพียง 12 ปีเท่านั้น จากนั้นเขาก็ยังมีภรรยาเพิ่มขึ้นอีกชื่อ โรบิน บันส์(Robyn Bunds) อายุ 17 ปี ทั้งหมดอายุไม่ถึง 18 ปี และภรรยาของเขานั้นส่วนใหญ่มาจากญาติพี่น้องและลูกสาวของสมาชิกบรานช์ ดาวิเดียนนั่นเอง

                ทำไมโฮเวลล์ ถึงได้ภรรยาพวกนี้จากเหล่าสาวกนี่ได้ นั้นเพราะโฮเวลล์ได้สอนสาวกว่าตัวเขาคือผู้รับคำสั่งจากเบื้องบนมาปลดทุกข์ เขาคือตัวแทนของเหล่าพระองค์ที่มาหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ ภายหลังวันพิพากษาโลก เผ่นพันธุ์ใหม่เหล่านี้จะเป็นผู้รอดชีวิตและฟื้นฟูโลกใหม่

                โฮเวลล์ บอกว่าพระเจ้ากำหนดให้เขาต้องมีภรรยา 140 คน

                ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1987 โฮเวลล์ พร้อมสมาชิก 8 คน ถูกจับข้อหาพยายามฆ่าจอร์จ โรเดนและภรรยา เนื่องจากจอร์จโรเดน ต้องการอำนาจของแม่คืนจนเกิดมีการยิงต่อสู้กัน โฮเวลล์ ถูกจำคุก 5 เดือน แต่กระนั้นหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้โฮเวลล์ ก็ได้เป็นผู้นำบรานซ์ ดาวิเดียนโดยสมบูรณ์

                ในปี 1987 โฮเวลล์ยังออกกฎหมายใหม่เรียกว่า “แสงใหม่” มาเทศน์ต่อสมาชิกเมื่อเดือนสิงหาคม กฎนั้นมีอยู่ว่าห้ามสมาชิกผ็ชายหลับนอนกับภรรยาเพื่อการถือศิลที่จะไปสู่สรวงสวรรค์ด้วยร่างกายที่บริสุทธิผุดผ่องโดยจะสามารถไปใช้ชีวิตทางรสเพสได้ในสวรรค์อย่างเต็มที่ โดยมีเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ในนิคมบรานซ์ เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า และด้วยกฎนี้เองทำให้เขาสามารถร่วมเพศกับผู้หญิงทุกคนในนิคมนี้แต่เพียงผู้เดียว

                ใช่ว่าสาวกคนอื่นจะเห็นด้วยกับโฮเวลล์ เพราะบางคนได้หนีออกมาจากนิคมและแฉให้สังคมภายนอกได้รับรู้ความคิดบ้ากามของเจ้าลัทธินี้ นั้นเองทำให้ลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนเริ่มเสื่อมศรัทธาจากหลายๆ ประเทศ ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปถึงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มาบัดนี้กลายเป็นลัทธิเล็กๆ เท่านั้น

 

ในปี 1990 เวอร์นอน โฮเวลล์ เปลี่ยนชื่อเป็นเดวิด โคเรซ และใช้วิธีการสอนสมาชิกด้วยวิธีล้างสมอง โดนเริ่มใส่โปรแกรมภาพความรุนแรง ความโหดร้ายต่างๆ จากภาพยนต์และสารคดีให้แก่สมาชิกได้ชมทุกๆ วัน เพื่อให้มีความเชื่อฝังหัวว่าวาระสุดท้ายของโลกใกล้มาถึงแล้ว

 ในระหว่างนี้เองเดวิดเริ่มได้รับหนังสือเตือนจากทางราชการว่า ลัทธินี้ทำผิดกฎหมาย

 

นนิคมของเดวิด นอกเหนือจากเดวิดที่มีอำนาจสูงสุดที่นี่แล้วยังมีสตีฟ ชไนเดอร์(steve Schneider) เป็นคนรับผิดชอบในการจัดระเบียบบริหารกันอย่างดี มีการจัดหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยผลิตอาหาร หน่วยอนามัย การจัดวางหน่วยเหล่านี้ทำให้นิคมของเดวิดไม่จำเป็นต้องติดต่อกับโลกภายนอกนามนับปีเลยทีเดียว

                ในเดือนพฤษภาคม ปี 1992 เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานควบคุมสุรา ยาสูบ และอาวุธ(ATE) เริ่มตรวจสอบนิคมของเดวิดอย่างเป็นทางการ โดยตั้งข้อหาว่าลัทธินี้ซ่อมสุมอาวุธอย่างผิดกฎหมาย และลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนเริ่มเป็นทีรู้จักกันอย่างต่อเนื่อง มีการขุดคุ้ยเรื่องราวของลัทธินี้ตีแผ่ จากอดีตสมาชิกที่หลบหนีออกมาจากนิคมแห่งนั้น

                หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับตั้งชื่อ เดวิด โคเรซ ว่า ผู้นำวิกลจริต

                ก่อนจะถึงเหตุการณ์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1993  ทางตำรวจปะทะสาวกของลัทธิลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนอย่างต่อเนื่องนานหลายวัน ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันไม่เคลื่อนไหว สาวกของเดวิดอยู่นิคม ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่คุมเชิงอยู่หุบเขาคาเมลนานถึง 49 วัน ทั้งสองฝ่ายต่างใช้สงครามประสาท ฝ่ายเจ้าหน้าที่ปิดล้อมพื้นที่และตัดน้ำตัดไฟตัดโทรศัพท์และส่องไฟสปอตไลต์แรงสูงไปตามอาคารต่างๆ ของนิคมเพื่อกดดันสาวกไม่ให้หลับนอน ส่งผลให้สมาชิกลัทธิของเดวิดส่งตัวคนชรา 14 คน และเด็ก 21 คนออกจากนิคม

                ในขณะที่ในนิคมนั้นยังมีสาวกคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาจะไม่ยอมให้ตำรวจจับกุม ฝ่ายของเดวิดใช้การตอบโต้ทางจดหมายขู่ว่าเขาจะฆ่าตัวตายทั้งหมด

 

 

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1993  เวลาเช้า 9.30 น. เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานควบคุมสุรา ยาสูบ และอาวุธ(ATE) ของรัฐบาลสหรัฐจำนวนกว่าร้อยนาย บุกเข้ารายล้อมอาณาเขตบริเวณนิคมของลัทธิลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียน เจ้าหน้าที่กว่าร้อยนายนั้นมีความสามารถการสู้รบอยู่ในระดับสูง สามารถทำลายกองทัพทั้งกองทัพ โดยตามแผนการที่วางไว้ตอนแรกพวกเขาต้องการจับกุมตัวเดวิด โคเรซเท้านั้น ส่วนภารกิจลองคือการปลดปล่อยสมาชิกลัทธิที่รัฐบาลอ้างว่าถูกกักขังมากกว่า 100 คน ในจำนวนนี้มีเด็กผู้หญิงและเด็กมากกว่า 50 คน และหนึ่งในนั้นมีภรรยาและลูกของเดวิดรวมอยู่ด้วย

                แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะทางฝ่ายลัทธิก็ได้ยิงตอบโต้ และแล้วก็ยิงต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายก็เกิดขึ้น เสียงปืนมีทั้ง ปืนพก ไรเฟิล และปืนกล การยิงต่อสู้ดำเนินราว 45 นาที ก่อนที่เหตุการณ์จะจบลงเมื่อมีเจ้าหน้าที่ 4 นานเสีนชีวิต และอีก 16 นายได้รับบาดเจ็บ ส่วนฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนเสียชีวิต 6 คน ต่อจากนั้นฝ่ายตำรวจก็ใช้รถหุ้มเราะบุกเข้าไปในเขตนิคมเพื่อทำลายอาคารที่กลุ่มมือปืนนิคมซุ่มซ่อนอยู่ จากนั้นก็มีการปะทะอีกระลอก มีผู้วิ่งออกจากอาคารที่ซ่อน 3 คน สองคนถูกยิง อีกคนถูกควบคุมตัว

                หลังจากการต่อสู้จบลง ฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวินเดียนพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ต้องหมายเลขฉุกเฉิน 911 เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่หยุดยิง แต่เจ้าหน้าที่ยังระดมยิงต่อเนื่องและพยายามบุกเข้าไปในอาคารนิคม เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกลงในสำนวนการสอบสวน แต่ทางฝ่ายผู้รอดชีวิตยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง

                เวลา 11.00 น. มีการขอให้เจ้าหน้าที่ FBI ให้เข้ามาเจรจาเพื่อประวิงเวลาในการวางแผนต่อไป ราว 3 ชั่วโมงต่อมาเจ้าหน้าที่เจรจาก็มาถึง ในการเจรจานั้นเดวิดขอให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้เผยแพร่การเทศน์ของเขากระจายเสียงไปทั่วสถานีวิทยุดัลลัสเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับฟัง  และขอสัมภาษณ์กับนักข่าว CNN โดยแลกกับการปล่อยตัวเด็ก 1 หรือ 2 ตนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

                วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1993  ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงอยู่หุบเขาคาเมล เดวิดก็ปล่อยตัวเด็กออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อแลกกัยการออกอากาศคำเทศนาของเขา โดยใช้ไฟฉุกเฉิน(เพราะเจ้าหน้าที่ตัดไฟตัดโทรศัพท์) ในคำเทศนาของเดวิดตอนนั้นเขาอ้างว่าเขาคิอ “เมสซิยาห์” พระผู้ลงมาปลดปล่อยทุกข์เข็ญ ซึ่งเป็นภารกิจครั้งที่สองหลังการเสด็จลงมาจากสวรรค์ครั้งแรกของพระเยซู และเขารจะเป็นแกะดวงตราดวงที่ 7 ซึ่งจะทำให้โลกถึงกาลอวสานตามบทคำพิพากษาโลกในพระคัมภีร์

 

 19 เมษายน 1993 ในที่สุดการคุมเชิงก็สิ้นสุดลง เมื่อเจ้าหน้าที่ตัดสินใจนำกำลังบุกเข้าไปในนิคมก่อนเช้าเล็กน้อย ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงอย่างดังว่าให้ทางสมาชิกบรานซ์ ดาวิเดียนทั้งหมดยอมจำนนและออกจากอาคารของนิคมทั้งหมด แต่ก็ไร้ผล ไม่มีการโต้ตอบออกมาจากฝ่ายของนิคม ในวันนั้นเจ้าหน้าที่ใช้กำลังเต็มเป็นกองทัพมีทั้งทางพื้นดินและอากาศ มีการนำรถถังแบบ M60 A1 เข้าไปเปิดทางและยิงถล่มกำแพงอาคารเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่หน่วยอื่นได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปก่อนที่จะนำกำลังเข้าจู่โจม และทันทีที่เข้าหน้าที่บุกเข้าไปเสียงการยิงตอบโต้ก็ดังขึ้นไปทั่ว ไม่นานก็เกิดเพลิงไหม้ตามอาคารต่างๆ อย่างรวดเร็ว(สาเหตุเพราะแรงลมบริเวณนั้นแรงมาก) จนทำให้อาคารนิคมเสียหายเกือบทั้งหมทด

                ก่อนสิ้นเสียงปืนระลอกสุดท้ายในราวเที่ยง เจ้าหน้าที่ประกาศครั้งสุดท้ายให้สมาชิกบรานช์ ดาวิเดียนทั้งหมดวางอาวุธและยอมให้จับกุม หลังจากนั้นสมาชิกเพียง 9 คนเดินออกจากอาคาร ก่อนที่จะมีเสียงปืนอีกระลอกใหญ่ดังออกจากฝั่งอาคาร ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันท่ามกลางเปลวไฟที่ยังลุกไหม้ต่อไป จนกระทั้งเหตุการณ์สงบลงในที่สุด

 

นเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ทำการสำรวจเคลียร์พื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายและค้นหาศพผู้เสียชีวิตที่คาดว่าน่าจะติดอยู่ในอาคารเหล่านั้น เจ้าหน้าที่ได้พบกับร่างที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของเดวิดและสตีฟ ชไนเดอร์ ไหม้ดำๆ ในที่ๆ เคยเป็นโถงห้องห้องหนึ่ง ตามห้องต่างๆพบศพของเหล่าสมาชิกหลายคนของบรานช์ ดาวิเดียน สิ่งที่สลดอย่างที่สุดคงจะเห็นไม่เกินซากศพมากจำนวนหนึ่งในห้องที่มีผนังคอนกรีตหนาและสูง(ห้องหลบภัย) คาดว่าเป็นสมาชิกของเด็กและผู้หญิงที่ทั้งหมดเอามารวมกันไว้อยู่ในสภาพไหม้เกรียมซึ่งมีมากถึง 41 ศพ

                หลังจากการค้นพบศพเสร็จสิ้น มีการสรุปยอดของศพที่ค้นพบทั้งหมดในหุบเขาคาเมล ของฝ่ายลัทธิบรานซ์ ดาวิเดียนทั้งหมดมีจำนวน 79 ศพ เป็นศพผู้ใหญ่ 58 ศพ เด็กอีก 21 ศพ ในจำนวนนั้นมีศพของเดวิด โคเรชรวมอยู่ด้วย(พิสูจน์โดยฟัน สาเหตุถูกยิงที่ศีรษะ)

 

 

 

26 ก.ย. 55 เวลา 19:08 4,642
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...