เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก kanzhongguo.com , weirdpalace.com
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนในเมืองฟุโจว มณฑลฝูเจี้ยน เป็นต้องอนาถใจเมื่อได้เห็นเด็กหญิงสถาพมอมแมมคนหนึ่งถูกมัดโยงไว้กับรถซาเล้ง ทำได้แค่เดินไปเดินมาเท่าที่ความยาวของเชือกจะอำนวย หรือไม่ก็นอนฆ่าเวลาไปในรถเท่านั้น
เด็กหญิงที่น่าสงสารคนนี้ชื่อ เจียง หม้านฉี อายุ 13 ปี และเจ้าของรถซาเล้งคันนี้ก็คือ เจียง ซูหลิง คุณปู่ผู้เป็นญาติคนสุดท้าย และเป็นคนเพียงคนเดียวที่คอยดูแลเธออยู่
แม้ว่าใคร ๆ จะมองว่าการที่ปู่ผูกล่ามเธอเอาไว้กับรถเช่นนี้เป็นการทารุณกรรม แต่จะให้ทำอย่างไรเล่าเมื่อหม้านฉีป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู พัฒนาการจึงไม่เติบโตสมวัย พ่อแม่ของหม้านฉีก็ทิ้งเธอไปตั้งแต่เธอยังเล็ก ๆ พาไปเข้าเรียนโรงเรียนก็ไม่ยอมรับ จะพาไปรักษายิ่งไม่ต้องคิดถึง เพราะค่ารักษาพยาบาลนั้นแพงเกินจะสู้ไหว สิ่งที่คุณปู่ทำได้จึงมีเพียงการตระเวนเก็บขยะไปรีไซเคิลหรือนำไปขาย หาเงินจำนวนกระจิดริดมาประทังชีวิตของตัวเองและหลานไปวัน ๆ เท่านั้นเอง
ทุก ๆ แห่งที่คุณปู่แวะจอดเพื่อขุดคุ้ยหาเศษขยะที่ยังพอมีค่า เขาจะผูกตัวของหม้านฉีเอาไว้กับรถซาเล้งด้วยเชือกที่ไม่ยาวมากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้หม้านฉีเดินเตร็ดเตร่จนพลัดหลง หรือเดินลงถนนจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ อย่างไรก็ดี คุณปู่ก็พยายามหาผ้ามาปูเบาะนั่งแข็ง ๆ บนรถซาเล้ง เพื่อไว้ให้หม้านฉีนอนรอขณะที่เขาออกไปทำงาน แม้ใคร ๆ จะมองว่าเขาผูกล่ามหลานสาวไว้อย่างกับเธอเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ใครเลยจะรู้ว่าคุณปู่เองก็เจ็บปวดที่ต้องทำเช่นนี้ แต่เพราะความจนจึงไม่มีหนทางอื่นให้เลือกมากนัก
นี่เป็นอีกภาพสะท้อนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงระบบการสงเคราะห์ผู้ป่วยที่ยากไร้ของจีน ว่ายังไร้ซึ่งประสิทธิภาพ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นอีกด้านของสังคมในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ที่ยังคงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของจีนจะดีขึ้นกว่าเก่ามากแล้วก็ตาม ดังจะเห็นได้จากโรงงานหลาย ๆ แห่ง ที่หนุ่มสาวโรงงานต่างต้องหอบหิ้วลูกวัยไม่กี่ขวบมาทำงานด้วย เนื่องจากหากทิ้งไว้ที่บ้านก็จะไม่มีคนคอยดูแล และที่ทำได้ก็คือผูกโยงลูกของตนไว้กับราวเหล็กของหน้าต่าง ในขณะที่ตนออกไปทำงาน เด็กน้อยจึงทำได้เพียงเฝ้ามองพ่อแม่ของตัวเองผ่านทางหน้าต่าง นั่งเล่นนอนเล่นไปตามประสา หรืออย่างมากที่สุดก็เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ที่ถูกพ่อแม่จับมาผูกเอาไว้ใกล้ ๆ กันเท่านั้นเอง