ธรรมโอวาท
ของ
พระญาณสิทธาจารย์
(หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
วัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ช้าๆนานๆหลวงปู่ก็เทศน์เปรี้ยงปร้างแบบจุดพลุ
เพื่อช่วยขับไล่ถีนมิทธะ ให้ลูกศิษย์ลูกหาตาสว่างเสียที
แต่เนื่องจากเป็นเทศนาที่ประกอบด้วยเมตตาธรรมล้วนๆ
แม้หลวงปู่ใช้เสียงดัง ฟังดูเข้มงวด ผู้ฟังก็ไม่รู้สึกระคายเคือง
เพราะเสียงที่ฟังดุของท่านมิได้มีร่องรอยของโทสะให้สัมผัสได้เลย
ที่ง่วงเหงา หาวนอนอยู่ก็เลยตื่นขึ้นมาตาแจ้งตาใส ฟังเทศน์กันต่อไป
"ญาติโยมมีศรัทธาหาระฆังมาไว้ให้ตี
ระฆังนั้นตีแตกไปหลายลูก
แต่ว่าไอ้ผู้ปฏิบัติภาวนา
ตีกิเลสตัวเองไม่แตก...แตกแต่ระฆัง"
"ขี้เซาเหงานอน
ไล่ให้ัมันไปอยู่โน่น...เมืองรัสเซีย
อย่าให้มันมาอยู่เมืองไทย
ให้พากันลุกขึ้นยืนต่อสู้กับกิเลส
อย่าปล่อยให้กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
เข้ามาย่ำยีจนกระทั่งนอนไม่ตื่น
เรียกว่า กินแล้วก็นอน เหมือนสุกรไม่รู้จักตื่น
อันนั้นเรียกว่า ใช้ไม่ได้"
"หลับไปพอบรรเทาร่างกาย
ตื่นขึ้นมาเมื่อใดก็บ่ต้องบ่นเสียดาย
เสียดาย...นอน...เออ ! กำลังนอนดี ระฆังก็ดังขึ้น
เป็นทุกข์เป็นร้อน ตื่นขึ้นมาตีระฆังให้ก็บ่ได้
เพิ่นตีแล้ว ก็ โอ๊ย...รบกวน ลงนอนอีก"
ใครที่ยังไม่เห็นโทษร้ายของถีนมิทธะ
กิเลสความง่วงเหงาหาวนอนว่ามันร้ายกาจขนาดไหน
ควรลองอ่านนิทานจากพระธรรมเทศนาของหลวงปู่
เรื่อง "เณรน้อยพญานาค" ต่อไปนี้
จากพระธรรมเทศนาหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
..ตำนานมีว่า มีสามเณรองค์หนึ่ง
ได้ปฏิบัติพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
พระสาวกตั้งห้าร้อย มีสามเณรน้อยองค์เดียวปฏิบัติ
สามเณรน้อยองค์นั้นปฏิบัติตลอดไตรมาสสามเดือน
เหมือนกับว่า ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน
เดี๋ยวก็หลวงพี่องค์นั้นให้ประเคนของ ทำนั้นทำนี้ให้
คิดให้ดีว่า พระห้าร้อย สามเณรองค์เดียว
ทำไมท่านจึงเอาได้ สู้ได้
แค่ถ้ำผาปล่องเรานี้พระมีอยู่แค่ยี่สิบองค์
สามเณรชื่อ ใหญ่ องค์หนึ่ง สามเณรชื่อ วิรัติ องค์หนึ่ง
สามเณร จ่อย อีกองค์หนึ่งเป็นสาม
เรื่องก็เป็นเรื่องเล็ก อย่าไปท้อถอย
โดยเฉพาะเณรจ่อย ชื่อจริงไม่ใช่ เณรจ่อย
ร่างกายเพิ่นจ่อย (ผอม) ก็เลยให้ชื่อว่า เณรจ่อย
ขยันดี ขยันขันแข็ง ทำอะไรได้เต็มกำลัง
พระแค่ยี่สิบองค์นี้ ถ้าจะแบ่งก็ได้น้อยเดียวหนอ
ทีนี้ ส่วนสามเณรน้อยไม่ได้หลับไม่ได้นอน มันอยากนอน
พอเสร็จธุระไตรมาสสามเดือนก็ไม่รู้จะปรารถนาเอาอะไร
สามเณรน้อยนั้น ถ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จะได้
ถ้าปรารถนาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ตราธิราชก็จะได้
เพราะว่า ความเพียรที่พยายามเต็มที่ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน
สามเณรองค์นั้นก็มีแต่ความอยากหลับอยากนอนอย่างเดียว
จะปรารถนาเอาดีกว่านั้นก็ไม่ได้
ก็ปรารถนาเอาว่า มันง่วงนอนอยากนอนอย่างนี้
ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้นอนเถิด ว่าอย่างนั้น
อย่าได้มีงานเหนื่อย ขอนอนตลอดเถิด
ก้เลยตายไปในชาตินั้นไปเกิดเป็นนาคราช หรือ พญานาคราช
เลยนอนอย่างเดียวเลยทีนี้ ไม่ตื่น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัส
ถาดที่เสี่ยงทายนั้นมาจมลงในที่ๆเดียวกัน
อย่างในแผ่นดินนี้ก้เมื่อพระเจ้ากกุสันโธมาตรัส
ท่านก็เสี่ยงถาดของพระองค์ท่าน ถาดก็ไหลไป
เป็นถาดทองคำไปวางไว้บนศีรษะ
สามเณรน้อยนาคราชก็รู้สึกเท่านั้นแหล่ะว่า ถาดได้ลอยมาลงที่นี้
องค์ที่สองไปก็ โกนาคมโน มาตรัสก็เสี่ยงถาดอีก
ถาดก็ไปลอยซ้อนกัน
พอถาดองค์สองมาตรัสรู้ห่างกันตั้งพุทธันดรหนึ่ง พญานาคก็ตื่นขึ้นสักทีหนึ่ง
ดัง แกร๊ก..! แล้วก็ เออ..เมื่อวานก็มาตรัสรู้องค์หนึ่ง วันนี้ก็มาตรัสอีกองค์หนึ่งหนอ
นั่นละ..ปรารถนานอนจนขนาดนี้ จนสิ้นพุทธันดรหนึ่งจึงตื่นได้
แกร๊กทีหนึ่ง ตื่นทีหนึ่ง
แต่พวกเราไม่ต้องเอาแค่นั้น เอาให้มันมาก ให้พ้นทุกข์พ้นภัย
ได้แต่นอนเหมือนสามเณรน้อยบ่ได้ความ
ทีนี้องค์ที่สามมาตรัส กัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้าก้เสี่ยงถาด
อย่างนั้นแหล่ะ ถาดก็ไปแกร๊กอีก
นาคราชก็ตื่นลืมตาขึ้นมาดูถาดนี่
และว่า เอ...วานนี้ก็มาตรัสองค์หนึ่ง วันนี้ก็มาตรัสอีกหนอท่านว่า
จนพระพุทธเจ้าของเรา เรียกว่า พระเจ้าโคดม
มาตรัสรู้เป็นองค์ที่สี่ ก็มาเสี่ยงถาดนางสุชาดา
คือว่า วันนั้นพระพุทธเจ้าของเราก็ฉันบิณฑบาตนางสุชาดา
นางสุชาดานั้นทำขนมสี่สิบเก้าก้อนถวายพระพุทธเจ้า
แต่เวลานั้น เรียกว่า บวงสรวงฟ้าดิน ตามธรรมเนียมคนหลง คนไม่รู้
ก็บังเอิญพระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้าของเราก็นั่งอยู่ในที่นั้น ที่ร่มไม้โพธิ์นั้นแหล่ะ
พอนางสุชาดามองเห็นปุริสลักษณะพระพุทธเจ้า
ก็ทึ่งในใจว่า เทพเจ้ามารอเราแล้ว ก้เลยเกิดปิติธรรมอันยิ่งใหญ่
น้อมเอาถาดขนมที่ตั้งใจไว้ ไปถวายพระพุทธเจ้าของเรา
พระองค์ก็ทรงเสวยพระกระยาหารนั้น
เสร็จเรียบร้อยพระองค์ก็นำเอาถาดไปลอยน้ำ
ตั้งสัตยาธิษฐานว่า
ถ้าเราะจได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆละก็
อย่าให้ถาดทองคำนี้ไหลลงตามน้ำ
ให้ไหลทวนกระแสขึ้นไป ว่าอย่างนั้น
พระองค์ก็วางถาด ถาดก็หมุนติ้วๆอยู่กับที่ก่อน
เมื่อหมุนอยู่กับที่พอสมควรแล้ว
ก็ผันขึ้นไปทางเหนือน้ำ เป็นความอัศจรรย์ให้พระพุทธองค์ของเรา
ตั้งใจมั่นว่า คงจะได้ตรัสรู้จริง
เพราะธรรมดาถาดไม่มีจิตใจ
พอพระองค์ตั้งใจอย่างนั้น ก็บันดาลถาดเหมือนมีจิตใจหมุนติ้วขึ้นไปเหนือน้ำ
เหมือนเรือกลไฟอเมริการัสเซียวิ่งตามน้ำอย่างนั้นแหล่ะ
ฉะนั้นพอไปถึง ถาดก็หมุนขึ้นไปเรื่อย ทวนกระแสขึ้นไป
ส่วนพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออะไร
พระองค์ดูแต่แรกก้รู้ทีเดียวว่า พระองค์คงได้ตรัสรู้จริง
ทีนี้ พอถาดลอยไปถึงที่ที่นาคราชหลับอยู่
ถาดไหลไปตกข้างๆศีรษะ
สามเณรน้อยที่เป็นนาคราชตื่นสักทีหนึ่ง
เมื่อวานนี้ก็มาตรัส วันนี้ก็มาตรัสอีก
พระพุทธเจ้านี้ก็รวดเร็วหนอ
ตื่นขึ้นสักทีหนึ่งก็หลับ ตั้งวันนั้นมาจนถึงวันนี้
วันฟังเทศน์นี้ก็ยังหลับอยู่ เณรน้อยนี้บ่ได้ตื่น
บุญละพระศรีอารยเมตไตรโยโพธิสัตว์มาตรัสจึงจะตื่นได้
นั่นละ...ปรารถนานอน อย่าไปปรารถนาเลย
มันนอนรวดไปเลยนี่ บ่ได้เรื่องได้ราว
อันนี้ความคิดเด็กน้อย ความคิดสามเณรน้อย
มันง่วงเหงาหาวนอนก็เลยขอให้ได้นอนเถิด
ตายแล้วไปเป็นนาคราช ไม่ได้เรื่อง
จะว่าปรารถนาอย่างไรไม่ได้ก็ไม่ถูก
ความจริงแล้ว เมื่อมีความตั้งใจอันใด
ถ้าตั้งใจจริง ย่อมสำเร็จลุล่วงไปได้..
คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือละอองธรรม
สิงหาคม, ๒๕๕๕. หน้า ๔๕-๕๑