ชีวิตเรา เหมือนแขวนอยู่ บนเส้นด้าย
มันขาดลง ได้ง่ายง่าย ใครก็รู้
ไม่ได้หวัง ให้ยศสูง คนเชิดชู
เหตุที่สู้ เพื่อปกป้อง ผืนแผ่นดิน
ถึงโจรใต้ มากแค่ไหน เราไม่หวั่น
จะป้องกัน ด้วยชีวิต สุดขาดดิ้น
ไม่ให้มัน ได้เหยียบ ผืนแผ่นดิน
จะขจัด มันให้สิ้น ถิ่นขวานทอง
เสียงปืนสนั่นก้องไปทั่วทั้งป่า ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างชายชาติทหารถูกปลิดชีพเพียงชั่วพริบตา ความรุนแรง ความเจ็บปวด ความตาย เกิดขึ้นบนพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งไม่มีค่ำคืนไหนเงียบสงัดได้ยาวนาน “3จังหวัดชายแดนภาคใต้”
เหตุการณ์เหล่านี้เหมือนหนังที่ถูก ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักสิ้นสุดของเหล่าทหารอาสา และกำลังพลที่ต้องลงประจำพื้นที่เสี่ยงเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาไฟใต้ โดยไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีชีวิตอยู่เพื่อหายใจต่อได้อีกครั้งหรือไม่ แลกกับการปกป้องประเทศชาติและคนไทย เพื่อให้ทุกคนอยู่อย่างสงบสุขอีกครั้ง
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รุนแรงบริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ได้ผ่านมานานถึง 9 ปีแล้ว ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย และที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินใดๆ นั่นคือชีวิตของเหล่าทหารผู้กล้า ที่ต้องมาสละชีพแทบทุกครั้งที่เกิดความไม่สงบ เช่นเดียวกับที่ผู้พันเบิร์ด เคยบอกว่า
'' อย่าสงสารทหารที่ต้องทำหน้าที่นี้ เพราะหน้าที่เหล่านั้น...พวกผมได้เลือกแล้ว ''
ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นดาย
การลงประจำการในพื้นที่ความไม่สงบ ไม่ต่างจากการยินยอมพร้อมใจที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้ทุกขณะในทุกๆวันประเทศไทยสูญเสียกำลังทหารมามากเท่าไหร่ และจะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ คงไม่มีใครตอบได้
'' หากต้องตาย ศพจะต้องคลุมด้วยธงชาติไทยเท่านั้น "
นี่เป็นคำพูดเชิงคำมั่นสัญญาของพลทหารเอกลักษณ์ สีดอกไม้ หนึ่งใน 4 ทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ผ่านมา
พลทหาร เอกลักษณ์ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ที่ทำหน้าที่ไปรับใช้ชาติ และใกล้กำหนดโดยเหลือเวลาอีกเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น แต่มาถูกคนร้ายเสียชีวิตเสียก่อน และความสูญเสียครั้งนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์วางระเบิดขึ้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การทำหน้าที่รับใช้ชาติของทหาร ที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกับตัวเองเมื่อไหร่ ในวันที่ไม่ตายก็พิการโดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งต้องเข้าประจำการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามบัญชาการของแม่ทัพภาคซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบต่างกันออกไป
“ฉะนั้นเมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งการลง พื้นที่ ในกองทัพก็จะมีตั้งแต่ตำแหน่ง ลูกแถว หรือทหารเกณฑ์ และไล่ขึ้นไป จนถึงผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆ โดยแต่ละพื้นที่จะแบ่งเป็นกองกำลังเฉพาะกิจ (ฉก.) ในระดับย่อยอีกทีหนึ่ง และกองกำลังจะมีการหมุนเวียนลงปฏิบัติหน้าที่ อยู่นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี”
โดยแต่ละพื้นที่มีกำลังรวมทั้งสิ้น 1.5 แสนคน ทั้งทหาร ตำรวจอาชีพ อาสาสมัคร เป็นต้น รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของทหารพราน ซึ่งโครงการจัดตั้งกรมทหารพรานในพื้นที่ชายแดนใต้นี้ เป็นไปตามแผนปฏิบัติการเพื่อถอนกำลังพล “ทหารหลัก” จากกองทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 ออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อส่งมอบให้ “ทหารพราน” หรือ “นักรบชุดดำ” ซึ่งเปรียบเสมือน “ทหารบ้าน” ที่มีความชำนาญพื้นที่อยู่แล้ว
ส.ต.พัธนันท์ กันขุนทด กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ หนึ่งในทหารที่เคยลงพื้นที่ภาคใต้ บอกว่า ในแต่ละปี จะมีคำสั่งรับสมัครทหารพราน จึงทำให้กำลังพลย้ายออกจากพื้นที่ได้ ตอนนี้ส่วนใหญ่จึงมีทหารพรานประจำอยู่ บางครั้งเป็นอดีตนายทหารเก่าก็มี
ทุกนาทีชีวิตแลกกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และยศ
เมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่บนพื้นที่เสี่ยงอย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องมีค่าตอบแทนสูงให้สมน้ำสมเนื้อ กับชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะกลับมาด้วยสภาพธงชาติไทยคลุมร่างก็ตาม
แหล่งข่าวจากกรมทหารราบที่ 11 ให้ข้อมูลว่า ถ้า ไปประจำการที่ภาคใต้ พลทหารจะได้สิทธิพิเศษ ตั้งแต่การเพิ่มเบี้ยเลี้ยงที่ขึ้นมาเป็นเท่าตัว ประมาณ 500 บาท/คน/วัน ซึ่งแตกต่างจากทหารพรานที่ได้เบี้ยเลี้ยงแค่ 120 บาท/คน/วันเท่านั้น และอาจได้เพิ่มยศตามลำดับขั้น ปรับขึ้นเงินเดือน (ตามผลงาน) นอกจากนี้ยังได้บัตรทหารผ่านศึก ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษเรื่องค่ารักษาพยาบาล ปีละไม่เกิน 2,000 บาท/ครอบครัว, เงินช่วยเหลือครั้งคราว ปีละไม่เกิน 500 บาท และการฝึกอาชีพ
ทั้งนี้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจาก สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2550 ยังได้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาทหารเช่นกัน
อย่างกรณีทหารเสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ของรัฐบาล เบิกจ่ายโดยสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีผ่านสำนักงานจังหวัด รายละ 500,000 บาท ค่าจัดการศพจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) หัวหน้าครอบครัวรายละ 50,000 บาท สมาชิกครอบครัวรายละ 25,000 บาท เงินช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รายละ 20,000 บาท รวมแล้วจะได้รับเงินในส่วนนี้เฉลี่ยรายละ 570,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีเงินเพิ่มพิเศษของข้าราชการทหารพลีชีพ โดยได้รับเงินตามโครงการประกันชีวิตของกระทรวงกลาโหมสำหรับทหารทุกนาย ทุกชั้นยศ รายละ 500,000 บาท เฉพาะกองทัพบกมีเงินประกันชีวิตแยกต่างหากอีก แบ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรรายละ 1,000,000 บาท นายทหารชั้นประทวน (นายสิบ) รายละ 800,000 บาท พลทหารและอาสาสมัครทหารพราน รายละ 500,000 บาท
ดังนั้นเมื่อรวมกับเงินกองทุนฯของรัฐบาล ทหารที่เสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือรวมทั้งสิ้นเฉลี่ยรายละประมาณ 1,570,000 บาท ถึง 2,070,000 บาท โดยไม่รวมเงินบำเหน็จบำนาญ (คิดตามอายุราชการและตามชั้นยศ) เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ และเงินเพิ่มเพื่อการสู้รบ (พ.ส.ร.)
กรณีได้รับบาดเจ็บ จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 763,000 บาท บาดเจ็บสาหัส 306,000 บาท บาดเจ็บทั่วไป 65,000 บาท บาดเจ็บเล็กน้อย 15,000 บาท
นอกจากนั้นยังมีเงินยังชีพรายเดือนสำหรับบุตรของผู้เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บสาหัส เป็นเงินที่เบิกจ่ายโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เฉลี่ยคนละ 1,000-2,500 บาทต่อเดือนตามระดับชั้นการศึกษา และทุนการศึกษาเป็นรายปี เบิกจ่ายโดยกระทรวงศึกษาธิการ เฉลี่ยรายละ 5,000-20,000 บาทตามระดับชั้นการศึกษาเช่นกัน
พี่ๆทหาร เขาอยู่แนวหน้า เสี่ยงอันตรายในทุกๆวินาทีเพื่อคอยปกป้องแผ่นดินไทยจากพวกก่อความไม่สงบต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน จากคนผู้เป็นที่รัก เพื่อมาทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติในคืนวันศุกร์ วันเสาร์เค้าก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน คงได้แต่นอนกอดปืน
คนที่อยู่แนวหลัง วันนี้คุณทำประโยชน์อะไรให้กับแผ่นดิน
ไทยของเราบ้างหรือยัง
ขอให้พี่ๆ ทหารกล้าทุกท่านปลอดภัยในทุกๆวินาที
ขอบคุณในความเสียสละค่ะ